ถือเป็นอีกหนึ่งทริปในฝันที่ผมอยากไปเที่ยวสักครั้ง และคิดว่าสักวันต้องได้ไปครับ สำหรับการได้ไปยลความงามของ ภูเขาไฟโบรโม่ & คาวาอีเจี้ยน ประเทศอินโดนีเซีย
แต่….. ตอนนี้เรายังไม่ได้ไป ผมเลยขอหยิบเอาบทความรีวิวของคุณ Pornpun Moomay Kaewngern เจ้าของเพจ : MNRanger Journey ให้แฟนๆ ของพาไปได้งานก่อนครับ สำหรับรีวิวนี้เพื่อเป็นข้อมูลเพิ่มเติมให้กับคนที่ต้องการไปเที่ยวภูเขาไฟโบรโม่ คาวาอีเจี้ยน ในอนาคต
Let’s go
MNRANGER ครั้งนี้เราไปกันที่ประเทศ Indonesia ก่อนอื่นเลยนึกภาพที่นี่ต้องอาหารกินยาก เมืองไม่น่ามีอะไร แต่อยากลองมาเปิดประสบการณ์ใหม่ เลยตัดสินใจจองตั๋วเครื่องบินเพื่อมาพิชิต BROMO เราเดินทางวันที่ 10-15 เมษายน
Day1 เราเดินทางด้วยสายการบิน Singapore Airline ไปต่อเครื่องที่สิงคโปร์ประมาณ 6 ชั่วโมง แล้วต่อด้วยลงเครื่องที่สุราบายา จะบอกถึงความประทับใจสายการบินนี้
สุดจริงๆ คือตลอดการเดินทางมีข้าวให้กินทั้ง2เที่ยวบินเลย และตรงบริเวณจุดพักยังได้รับเงิน 20 ดอลล่า สิงคโปร์มาใช้อีก คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม ประทับใจมากจริงๆ
Day2 ถึงสนามบินสุราบายาเพื่อไปต่อ (จะบอกว่า ตม.ที่นี่ค่อนข้างรัดกุม ใครจะไปเตรียมเอกสารดีดี เพราะถามเยอะ เรานั่งรถเพื่อเดินทางไปที่ Kawah Ijen ก่อนเลยทริปนี้ ระยะทางจากสนามบินสุราบายา ถึงที่พักรวมทั้งสิ้น 295 กิโลเมตร
แต่เรานั่งรถทั้งหมด 9 ชม. โอ้โหตูดชาไปหมด ถึงที่พักตอน 3 ทุ่ม เหตุเพราะการคมนาคมที่อินโดนีเซีย ไม่ค่อยสะดวกนัก ถนนหนทางยังแคบ หลังจากนี้เราต้องตื่นเที่ยงคืนครึ่ง เพื่อที่จะเดินทางไปที่ Kawah Ijen
Day3 ตี1ครึ่ง พวกเรานั่งรถจากที่พักไปที่ Kawah Ijen เพื่อให้ทันดู Blue Flame ซึ้งมี 2 ที่ในโลก ยังไงก็ต้องไปดูให้ได้ แต่.. ไกด์ท้องถิ่นแจ้งว่าก่อนหน้านี้มีคนงานเสียชีวิตเพราะเรื่องกลิ่นกำมะถัน เราเลยได้เดินขึ้นยอดเขาตอน ตี3 กว่าๆ เพราะฉะนั้นอาจจะอดเห็น TT จะบอกว่าใครจะมาที่นี่ฟิตร่างกายนิดนึงก็ดีนะ เพราะทางเดินชันพอสมควร
แต่โชคดีที่อากาศดี เดินๆๆ ถึงยอดเขาตอนเวลาเกือบๆ 6 โมง พอไปถึงสิ่งแรกที่เห็น น้ำสีฟ้าๆกับทิวเขาสีขาวหม่น และมีควันออกมาจากน้ำสีฟ้า ท้องฟ้าออกสีชมพูส้ม จะบอกว่าสวยมากกกก คือถ่ายรูปมายังไม่สวยเท่าตาเห็น ไกด์ท้องถิ่นบอกว่า
พวกเราโชคดีนะที่วันนี้ฟ้าเปิดและได้เห็น เพราะใครที่มาที่นี่บางทีไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้ อยู่ที่สภาพอากาศล้วนๆ หลังจากน้นกลับลงมา
เรานั่งรถไปต่อที่ BROMO ระหว่างทางฝนตกหนักมาก นั่งรถไป BROMO ประมาณ 4 ชม. ถ้าจำไม่ผิด ถึงแล้วววที่พัก ห้องนอนดี เตียงคือที่ดูดร่างของเราแท้ๆ แล้วเราต้องตื่น ตี1ครึ่ง ตื่นเช้ามืดอีกแล้ว
Day4 ตี1 ครึ่งมีรถจี๊บมารับที่โรงแรมเพื่อไปดูวิว เราใช้ความโชคดีที่ Kawah Ijen ไปหมดแล้ว จุดชมวิวนั้นหมอกหนาไม่เห็นวิวอะไรเลย รอตั้งแต่ตี3 ยัน เกือบ9โมง ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นและยอดเขานิดๆ หลังจากนั้นรถจี๊บก็พาเราไปถ่ายรูปเล่น ดีนะลงมาข้างล่างยังมีแดดมาให้ถ่ายรูปพอสวยงาม
หลังจากนั้นเดินทางไปที่ BROMO เพื่อไปดูปากปล่องภูเขาไฟ จะบอกว่าประทับใจที่นี่มากเช่นกัน ถึงวันนี้หมอกจะเยอะไปหน่อย แล้วเราได้ขี่ม้าด้วย ซึ้งเป็นการขี่ม้าครั้งแรกในชีวิต และราคาขี่ม้าถูกแสนถูก
แต่.. ราคาขี่ม้าเริ่มต้นจากจุดจอดรถ 100,000 รูปี จากนั้นก็เดินๆไปเรื่อยๆทางคนจูงม้าจะลดราคาเราลงเรื่อยๆ สุดท้ายเราได้ราคาที่ 70,000 รูปี แต่สงสารเค้าเลยทิปไปให้นิดหน่อย
หมอกจางหรือควัน
หลังจากนั้นก็ขึ้นบันไดเพื่อไปพิชิตยอดเขาและไปดูว่าควันภูเขาไฟเป็นยังไง จะบอกว่าสวยมากนะ มองไปข้างล่างก็สวย แต่.. หมอกมาเยอะอีกแล้ว เพราะฉะนั้นครั้งหน้าถ้ามาจะมาซ่อม BROMO อีกครั้ง หลังจากนั้นรถจี๊บก็พาไปทุ่งหญ้า Bromo Savanna และทะเลทรายสีดำ แล้วก็กลับที่พักเพื่อพักผ่อน
Day5 เราตื่นตี5 เพื่อไปดูวิวจากที่พักคือที่โรงแรมเห็นวิวยอเขาเลยแหละ แต่มุมอาจจะไม่ค่อยดี เลยเดินๆไปอีกจุดนึง โอ้โห สวยจัง สวยมาก ถือว่าซ่อมเมื่อวานที่หมอกบังเราไปหมด และจะบอกว่าระหว่างเดินไปดูวิว สองข้างทาง
ภูเขาประเทศอินโดสวยมากเหลื
ชาวบ้านปลูกผักเป็นแปลงๆไปหมด มองไปแล้วสบายตาเลยทีเดียว พอชมวิวเสร็จเก็บของเพื่อเดินทางเข้าเมืองสุราบายา แต่.. ไกด์เราแดนนี่บอกว่า จะพาพวกเราไปน้ำตก เย้ๆ คือตอนแรกเมื่อวานแดนนี่จะพาไป
บันไดขึ้นยอดเขา มีเหนื่อยนิดหน่อย
แต่ทีนี้เค้ากลัวจะเกิดน้ำท่วมเพราะช่วงนี้ฝนตกตลอด สุดท้ายเราก็ได้ไป เดินเข้าไปที่น้ำตกประมาณ 1.5 กิโล พอไปถึงสิ่งแรกที่เห็นคือธรรมชาติที่สมบูรณ์มากและน้ำตกสวยขั้นเทพ สวยแบบสวยสุดๆ ไม่เคยเห็นน้ำตกที่ไหนสวยขนาดนี้ ประทับใจมากกกก เกินคำบรรยาย หลังจากไปน้ำตกแล้ว เราเดินทางเข้าเมืองสุราบายาเพื่อพัก 1 คืน ก่อนพรุ่งนี้จะเตรียมตัวกลับตอนเช้า
Day6 ตื่นเช้าเพื่อกลับกทม. จากสนามบินสุราบายา ไปลงที่สิงคโปร์ พักเครื่องประมาณ 2 ชม. และไปลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ
จบทริป Indonesia
สิ่งแรกที่จะบอกคือ เตรียมเสบียงไปเยอะมากเพราะกลัวกินอาหารเค้าไม่ได้ ผลสุดท้ายเหลือเสบียงกลับมาเกือบเท่าเดิม เพราะอาหารเค้าอร่อย -สิ่งที่สองคือคิดว่าบ้านเมืองเค้าไม่น่าสวยมาก แต่พอเราไปเห็นด้วยตาตัวเองแล้วคือสุดจริงๆ
สิ่งที่สามคือไม่คิดว่าบ้านเมืองเค้าอากาศจะดีขนาดนี้ คือหนาวเลยแหละ (บนยอดเขา) สรุปค่าใช้จ่ายทริปนี้ใช้เงินไปทั้งหมด 20,000 บาท
1.ค่าตั๋วเครื่องบิน 13,000 บาท(ถ้าเจอตั๋วถูกจะประหยัดเงินไปได้เยอะ และเดี๋ยวนี้ไม่มีบินตรงไปสุราบายาด้วยค่าตั๋วเลยค่อนข้างแพง บวกกับเป็นวันหยุดยาวด้วย ราคายิ่งสูง)
2.ค่าไกด์ที่อินโด ราคาตกคนละ 5,850 บาท รวมโรงแรม อาหารมื้อเช้า ค่ารถไปที่ต่างๆ ไม่รวมค่าทิปแยกใครอยากให้เพิ่มเติมก็ให้เค้าได้เลย
3.ค่ากิน ค่าขนม ค่าน้ำ ค่าต่างๆ ของฝาก = 1,150 บาท ซึ่งเรากินเยอะมาก มากจริงๆ
ฝากติดตามทริป Indonesia ด้วยนะ ยาวเหยียด ละเอียดยิบ ขอบคุณน้า ขอบคุณที่มาของภาพและรีวิว : คุณ Pornpun Moomay Kaewngern เจ้าของเพจ : MNRanger Journey