ทริปนี้ หนีงานทั้งหมด 9 วันเต็มๆ เสาร์อาทิตย์ ยันเสาร์อาทิตย์ แบกเป้ไปเวียดนามเหนือ เว้ ดานัง ฮอยอัน ฮาลองเบย์ ฮานอย ซาปา เวียดนามเหนือ ด้วยงบประมาณ 18,000 บาท
ทริปนี้ เราไปกัน 3 คน รวมแล้วก็ ชาย 2 หญิง 1 เดิมๆ เหมือนปีก่อน ลืมบอกไปว่าปีที่แล้ว เราไปตะลอนเวียดนามใต้กันมา ก็แก๊งค์นี้เหมือนกัน หน้าเดิม แล้วก็สนุกเหมือนเดิม ด้วยความคิดถึงเวียดนามไม่ไหว ขอจัดรีวิวเวียดนามเหนือให้ก่อน แล้วจะมาตามเก็บเวียดนามใต้ให้นะ
เราไปเที่ยวแบบหน้างาน หาเอาข้างหน้า หาข้อมูลกันนิดหน่อย ไปถึงแล้วค่อยว่า มีแค่แผนที่กับไอโฟน ก็รอดแล้ว!!
สำหรับใครที่อยากไปเวียดนาม เราแนะนำว่าให้ไปช่วงเดือนธันวา-กุมภาพันธ์ เพราะเป็นหน้าหนาว อากาศดี ส่วนช่วงที่เราไป เป็นกลางเดือนมกราที่ผ่านมานี่เอง
เช้าวันเสาร์ 07.00 เสียงโทรศัพท์ดัง “เห้ยยยย….จะถึงบ้านแล้วนะ เรียกรถได้เลย คือเสียงเพื่อนที่จะไปด้วยกันรอบนี้นี่เอง ตกใจมาก นี่ชั้นหลับอยู่ ห๊ะ…มีเวลาแต่งตัว 10 นาที บินไฟลท์เช้า 8.45 แค่นี้ก็รู้แล้วว่าไม่ทัน แต่ก็ยังฝืนไปกันอยู่ เพราะอีกคนรอที่สนามบินแล้ว ในที่สุด พวกเราก็ ตกเครื่อง!! ห๊ะ ตกเครื่อง…ครั้งแรกในชีวิต มีไฟลท์อีกที 15.00 กว่าจะถึงคือ 17.00
นอกจากเราจะพาแก๊งค์ตกเครื่องแล้ว เรายังจองตั๋วเครื่องบินผิดตั้งแต่แรก จริงๆ ต้องลงฮานอย แล้วไล่ลงมากลับไปไทย โดยไปขึ้นที่โฮจิมินห์ แต่ตอนซื้อใจคงคิดถึงโฮจิมินห์ เมื่อปีก่อน ก็เลยเลือกโฮจิมินห์ ห๊ะ!! ทำผิดตั้งแต่ยังไม่ได้ไปเลย
แต่ไม่เป็นไร มันสะใจดี ไหนๆ ก็จองผิดแล้ว ตกเครื่องก็แล้ว ก็เลยต้องบินในประเทศเวียดนามเอา ตกเครื่องครั้งนี้ จำไว้ให้ดี อย่าตื่นสาย หรืออย่านอนเด็ดขาด
ผลของการตกเครื่องรอบนี้ เวลาว่างที่เหลือประมาณ 3 ชั่วโมง เลยต้องหาข้อมูลโรงแรมเตรียมไว้ ไปถึงถ้าหน้าตาโรงแรมพอใจ ก็พุ่งเข้าหาเลย
เอาเป็นว่า 15.00 วันนี้ บ๊ายบายไทยแลนด์ ไปเจอกันที่เวียดนาม ตอนห้าโมงเย็นนะ
Day 1
สวัสดีโฮจิมินห์ ครั้งที่สองในชีวิต สิ่งแรกที่ต้องทำที่สนามบิน
1.แลกเงินเป็นเงินดอง ควรแลก USD ไปจากไทย แล้วค่อยแลกเป็นเงินดองเวียดนาม จะได้เงินเยอะกว่า แล้วจะรู้สึกรวยทันที มีเงินเป็นล้านเลยสินะ และไม่ต้องแลกหมด เพราะที่นั่น เค้าใช้เงินสองสกุลนี้ ถ้าแลกหมด กลับมาไทยเราจะหาที่แลกกลับเป็นเงินไทยยาก พก USD เอาไว้ ยังไงก็ปลอดภัยกว่า
2.เปลี่ยนซิมการ์ด เฉลี่ยราคารวมๆ ค่าโทรกลับไทย และอินเทอร์เน็ต 3G ประมาณ 600 บาท ขอบอกว่า Unlimited จริงๆ ไม่มีหลอก โทรกลับหาแม่ เพื่อบอกว่ายังมีชีวิตอยู่ได้อีก 25 นาที
หลังจากนั้นพวกเราก็เดินไปตึก domestic ของที่นี่ เพื่อไปโหลดกระเป๋า ขึ้นเครื่องบินในประเทศ Vietjet Air เพื่อไปเว้ (HUE) แสนจะโชคดี ได้เจอคนเวียดนามพูดไทยได้ นั่งเครื่องลำเดียวกัน แล้วก็เลยรวมตัวนั่งแท็กซี่เข้าเมืองเว้ เพื่อไปโรงแรมที่จองไว้ สรุปว่า คืนนี้รอดแล้ว!!
นี่มัน 4 ทุ่มแล้วนี่…โอ้โหชีวิต ยังไม่ได้กินเย็นเลย บวกกับฝนตก มาถึงฝนนี่ตกต้อนรับกันเลย ไม่มีอะไรกิน นอกจากเดินออกมาข้างๆ โรงแรม แล้วกินเฝอซะ ของประจำชาติเค้าเชียวแหละ ชามนึงราคา 50,000 VND (75 บาท) ยังเหนื่อยไม่พอ ด้วยความอยากรู้ ร้านดื่มร้านเต้นที่เวียดนามเป็นไง ก็เลยเดินๆ ไปเรื่อยๆ พอดึกแล้ว ในเมืองรอบๆ เงียบมาก แต่พอเข้าไปในร้านเท่านั้นแหละ คนละโลกเลย ฝรั่งนี่เต้นแบบสุดมาก ความเจ๋งคือคอนเซ็ปต์ของร้านนี้ จะปิดก็ต่อเมื่อลูกค้าคนสุดท้ายเดินออกจากร้าน ซัดเบียร์คนละสองกระป๋อง ก็กลับบ้านเราอาบน้ำนอนได้
Day 2
หากใครไปเวียดนามครั้งแรก จะตกใจ โอ้แม่คุณพ่อคุณ….จะบีบแตรอะไรกันขนาดนี้ ถ้าเป็นบ้านเรานี่ ป่านนี้งานมาแล้วแน่นอน ด้วยความที่เรามานี่เป็นครั้งที่สองแล้ว ใจกล้าหน้าทน เอาวะรอบนี้ เช่ามอไซค์กันซะเลย ชายสองหญิงหนึ่ง จัดไปสองคัน วันนี้ขี่ไปเที่ยวในเมืองเว้กัน อากาศกำลังดี ไม่มีแดด 20 องศานิดๆ ใส่แขนยาวตัวเดียวอยู่ได้สบาย
ถึงเว้ อย่าลืมแวะ : สุสานของพระเจ้าไคดิงห์, สุสานจักรพรรดิตือดึ๊ก, นครต้องห้าม, วัดเทียนหมุ เราได้ไปมาเท่านี้ เพราะวันนี้ฝนตก แถมโอ้เอ้กันในเมือง ไหลไปเรื่อยๆ แวะแต่ละที่ก็แสนนาน และแต่ละที่นั้น บอกไว้นิดนึงว่า จะเสียค่าจอดมอไซประมาณ 10,000 VND และค่าเข้าอีกประมาณ 15,000 VND
เที่ยวไปเที่ยวมา บวกกับไม่ได้เตรียมอะไรไว้เลย นี่มัน 5 โมงเย็นแล้ว แต่ต้องหารถไปดานัง และจะไปฮอยอันกันต่อ แวะไปท่ารถกี่ที่ ก็ไม่มีรถที่เราอยากไป จนสุดท้ายก็ตัดสินใจต้องไปรอบ 18.30 มื้อเย็นมื้อนี้ ทนไว้ก่อนนะ….ในที่สุดไปคืนมอไซ แล้วเรียกแท็กซี่ไปท่ารถ เพื่อต่อรถไปดานัง และหารถไปฮอยอัน เราจะไปนอนที่นั่นกันนะ
ทริปนี้ได้ลุยสมใจจริงๆ แบกเป้หลัง 13 กิโล เป้หน้าอีกโลกว่า ฝนตกเบาๆ วิ่งขึ้นรถเที่ยวสุดท้ายเพื่อจะไปดานัง ยังไม่ทันทำไรเลย พูดคำว่าดานังๆ พ่อคู๊ณณณณณ….พนักงานขับรถบัสดึงกระเป๋าจากไหล่เราสามคน ใส่ท้ายรถให้ทันที ห๊ะ….นี่ไปดานังแน่เหรอวะ?? เอาวะ…ไปก็ได้ คงใช่แหละเพื่อน อีก 10 นาที รถจะออก นี่ก็เรียกว่าโชคดีล่ะมั้ง มีซาลาเปาจ้า…นางเดินขึ้นมาขายบนรถ เราสามรอดตายแล้ว กินอิ่มมั้ง ก็หลับนิดนึง ทางนี่กระแทกกึ่งหลับกึ่งตื่น
ในที่สุด 2 ชั่วโมง ถึงท่ารถดานังแล้ว เห้ยยย!! 2 ทุ่มกว่าอีกแล้ว หารถไปฮอยอันยังไงวะเนี่ยยยยย เท่าที่ถามๆ มาจากเว้ เค้าบอกว่าถ้าเวลาแบบนี้ คงต้องไปแท็กซี่ “การขึ้นแท็กซี่ในเวียดนาม โปรดจำไว้ว่า กดมิเตอร์พลีสสสสสส” ไม่งั้นเจอสายโกงนะจ๊ะ อีกชั่วโมงกว่าเราจะถึงฮอยอันกันแล้ว
ถึงฮอยอันในที่สุด พุ่งตรงไปยังโรงแรมที่หาข้อมูลไว้ เพราะนี่ก็ 4 ทุ่มเห็นจะได้ เห้ยยยย….หิวมากกกกก ทุกคนเก็บกระเป๋าในห้อง และมีผู้ต้องเสียสละ “นอนพื้น” 1 คน ฮ่าๆๆๆ ยังแรนด้อมไม่เจอเรา ต่อจากนี้คือการออกไปหาอาหารนั่นเอง ไม่มีอะไรมากเพราะเค้าแทบจะนอนกันหมดแล้ว เราจะหาอาหาร หาน้ำได้ ก็คงไม่พ้นร้านนั่งดื่ม นั่งกิน เดินไปเดินมา อากาศ 18 องศา ตอนสี่ทุ่ม กำลังดี เจอคนขายบาแก็ต ขนมปังแท่งยาวๆ เหมือนของฝรั่งเศส ใส่หมู ใส่ผัก ราดซอส แต่กินแล้วเจ็บเพดานชะมัด อยากอร่อยต้องทนหน่อยละกัน นี่ก็เป็นอีกเมนูท็อปของเวียดนาม ไม่กินแล้วจะเสียใจ
Day 3
การไปเที่ยว ตื่น 7 โมงก็ไม่ย่อท้อ เพราะถ้าไปทำงาน เรียกว่าเข้างานสาย จนนายอยากไล่ออก แต่มาเที่ยวไม่เป็นไร ยอมได้ ที่ฮอยอันพวกเราใช้เวลาเที่ยว1 วันเต็ม ด้วยการให้โรงแรมจองแท็กซี่ให้แบบเหมา เราจะไปไหนก็ได้ แต่ต้องแจ้งเค้าไว้ก่อน รอบนี้เราเหมาไป My Son คล้ายๆ อยุธยาบ้านเรา ขึ้นชื่อว่าเป็นมรดกโลกเลย แล้วก็ให้มาส่งที่เมืองเก่า จุดท็อปฮอยอัน ไม่ไปไม่ได้นะ และตอน 6 โมงเย็นให้แท็กซี่คันเดิมมารับ เพื่อพาไปส่งที่สนามบินดานัง เพื่อจะไปฮานอย รวมค่ารถในการเดินทางที่ฮอยอันทั้งหมด ประมาณคนละ 300,000 VND (460 บาท)
ถึงฮอยอัน อย่าลืมแวะ : ปราสาท My son เป็นมรดกโลก, ย่านเมืองเก่า
เอาล่ะ 6 โมงเย็น รถมารับที่หน้าโรงแรมที่ฮอยอันแล้ว เจอกันที่สนามบินดานัง บินไปฮานอยโลดดดด (ค่าเครื่องบินจองออนไลน์ ราคาประมาณ 1,000 บาท) แนะนำว่า หากไปหลายๆ เมืองในทริปเดียว ที่เวียดนาม การเดินทางโดยรถยนต์ จะช้ามาก เพราะนอกเมืองขับได้เร็วสุด 60 ในเมืองเร็วสุด 40 การเดินทางถ้าเวลามีจำกัด หรือใครใจร้อน ข้ามเมืองขนาดนี้ แนะนำให้เครื่องบินในประเทศดีกว่า
สวัสดีฮานอยตอน 4 ทุ่ม แท็กซี่มารับจากสนามบิน เพื่อไปส่งที่โรงแรม กว่าจะถึงทำอะไรเสร็จก็ประมาณ 5 ทุ่มกว่า ค่าที่นอนก็ตกประมาณ 1,000 บาท นอนได้ 3 คน รอบนี้หวยออก ได้นอนเตียงเสริม ไม่เป็นไร ยังไงก็ยังสบาย หลังจากที่เก็บกระเป๋าเรียบร้อย ต่อไปก็คืองานกิน จากบ้านเราเดินเล่นในเมือง ทั้งย่านร้านกิน ร้านดื่มมีเพียบทุกมุม รอบนี้ด้วยความหิว จัดบาร์บีคิวกันไป 1 กระทะ สำหรับบาร์บีคิวที่นี่ จะเป็นเตากลมๆ จุดแก๊สอันเล็กๆ บนเตาเป็นฟอยล์วางไว้ เทน้ำมันลงไปหน่อย หัวหอมตาม มะเขือเทศ และใส่หมู ใส่ไก่ลงไป ต่อด้วยหมูทอดกินกับข้าวสวย มื้อนี้ กินสามคน หมดไป 180,000 VND (280 บาท) ท้องอิ่มต้องต่อด้วยเบียร์สักหน่อย ที่นี่เบียร์ถูกมาก Hanoi Beer แค่ 10,000 VND (15 บาท) แต่รสเบากว่าของไทยเยอะมาก นี่มันจะตีหนึ่งแล้ว กลับบ้านเหอะ พรุ่งนี้ต้องตื่น 7 โมง ไปฮาลองเบย์นะเว้ยยยยย ปล.ทริปฮาลองเบย์ ตอนแรกกะจะมาถามหาเอาที่ฮานอย แต่ก่อนหน้านี้ ช่วงเวลาก่อนนอนของทุกวันในทริป พวกเราจะใช้เวลาคุยกันนิดหน่อย ว่าวันรุ่งขึ้น จะเอาไงดี เผื่อได้จองทริปเที่ยวไว้ก่อนเลย ในที่สุดก็ได้ทัวร์เจ้านึงเอาไว้ เป็นทริปเหมารวมรถไปฮาลองเบย์ และเหมารวมซาปาเข้าไปด้วย ซึ่งราคาจะถูกลง
Day 4
08.30 น. รถตู้คันนึง มีคนนั่งมาเต็มเกือบหมดแล้ว และแวะมารับเรา ทั้งคันมีแต่ฝรั่ง ในที่สุดเราสาม ก็ได้นั่งหลังสุด และเหลือที่ไว้วางกระเป๋าอีกหนึ่งที่นั่ง วันนี้แหละ เราจะไปฮาลองเบย์ วู้วววว….
ตื่นเช้าไปหน่อย และเพลียค้างมาเรื่อยๆ พวกเราเวลานั่งรถยาวๆ ก็มักจะเผลอหลับกันนิดๆ หน่อยๆ อย่างว่าแหละ ใครไม่หลับ แต่เพื่อนหลับ ในมือถือ ก็มีแต่รูปเพื่อนหลับ ฮ่าๆๆๆ เอาเป็นว่าอีก 2 ชั่วโมง เราจะถึงฮาลองเบย์กันแล้ว
พอมาถึง ใช้เวลาล่องเรือ ทานอาหารกลางวันบนเรือ รอบนี้ได้รวมโต๊ะกับคนเสปน เอ้าโชคดี ถูไถภาษาอังกฤษไปด้วยกัน ก็สนุกสนานดี และแล้ว เราก็ถึงสถานที่เช็คอินแห่งฮาลองเบย์ ในทริปนี้ ไกด์พาเดินเข้าถ้ำ แต่จุดท็อปของเราอยู่ที่การได้ออกไปพายเรือคายัค เอาสิ…ทั้งกล้องที่คล้องคอ ทั้งมือถือ ทั้งเป้ จะทิ้งไว้บนฝั่งได้ไง ก็หอบมันลงไปพายด้วยกันนี่แหละ คว่ำมายังไง ก็ค่อยว่า สรุปงานนี้ รอด!!
พวกเราใช้เวลาอยู่ที่ฮาลองเบย์ถึงประมาณสี่โมงเย็น นอกนั้นเป็นเวลาที่ต้องเดินทางกลับ ใช้เวลาอีก 2 ชั่วโมงกว่าๆ ทางทัวร์ก็จัดรถมารับเป็นรถมินิบัสไปส่งถึงหน้าโรงแรมเลยทีเดียว ทุกทริปเรามักจะเช็คเอาท์ออก ตีซี้กับพนักงานไว้หน่อย เพื่อจะได้ฝากกระเป๋าไว้ทั้งวัน ตอนเย็นก่อนเดินทางไปที่อื่น ได้เข้ามาอาบน้ำฟรีๆ
เอาล่ะ!! สามทุ่มกว่าคืนนี้ เราต้องขึ้นรถไฟไปซาปา เวลามีน้อย ช่างตื่นเต้นซะเหลือเกิน ทุกคนต่อคิวอาบน้ำฟรีในห้องน้ำเล็กๆ ของพนักงานในโรงแรม และรอคนจากทัวร์มารับเพื่อที่จะพาไปส่งที่สถานีรถไฟฮานอย เพื่อที่จะนอนยาวๆ หนึ่งคืนบนรถไฟไปซาปา เฮ้ยยยยยย!! นี่เรากำลังจะเจออากาศกี่องศากันวะเนี่ย
บนรถไฟมีห้องน้ำ อ่างล่างหน้าแบบบ้านเรา แต่ต่างกันตรงที่มีทางเดิน และจะแบ่งเป็นห้องๆ แต่ละห้องนอนได้ 4 คน ฝั่งละสองชั้น และมีโต๊ะกลางไว้วางของกินนั่นเอง แค่พวกเรา ก็ไปแล้ว 3 คน ขาไป ได้รวมห้องกับสวีเดน คุยกันไปมา นี่เค้ามาเที่ยวเวียดนามครึ่งเดือนแล้ว แล้วจะไหลไปเรื่อยๆ เอาเป็นว่าอากาศมันเย็นนี่เนอะ ใส่เสื้อกันหนาว ถุงเท้า จิบเบียร์หน่อย หลับสบายอากาศค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ เหลือประมาณ 15 องศา แล้วก็หลับกันไป ตื่นมาอีกที ตี 5 กว่าที่ฟ้าเกือบสว่าง เฮ้ยยยยยย!! มองไม่เห็นข้างนอกเลย หมอกเพียบ แล้วหนาวว่ะ เห้ยยย…8 องศา และอีก 15 นาทีเราจะถึงเมืองเลาไค (Lao cai) กันแล้ว
เมืองนี้เหมือนหัวเมืองต่างจังหวัด ที่เราต้องต่อรถไปซาปาอีกทีนึง พวกเราเหมาแพ็คเก็จไว้แล้ว ก็มีรถตู้มารับ พาพวกเราไปปล่อยที่โรงแรม ที่เรารีเควสกับทัวร์ไว้ว่า ขอห้องแบบ the best view นะยูวววว ไออยู่สองคืน พอไปถึง เราก็ได้ห้องเดอะเบสสสส จริงๆ ชั้นบนสุด หัวมุมสุด เห็นวิวแบบเต็มๆ
ปล.ไปซาปา แนะนำว่าให้ซื้อเป็นแพ็คเก็จไปเลย ทั้งค่ารถรับส่งและโรงแรม เพราะการติดต่อรถ หรือหารถกลับ จะไม่ค่อยสะดวกเท่าไร หากเราไปหาเอาข้างหน้า
Day 5
เห้ยยย…เราถึงแล้วเหรอวะเนี่ยยยย เปิดเข้ามาในห้อง มีสองเตียง ในใจคิด ได้นอนคนเดียวแน่นอน สบายแน่ๆ เป็นหญิงคนเดียว ก็ดีแบบนี้แหละ วางกระเป๋าปุ๊บ เดินออกมานอกระเบียงปั๊บ เฮ้ยยยย หนาวววว ดูที่วัดอุณหภูมิโรงแรม 3 องศา กับเสื้อยืด 1 ตัว ณ ตอนนี้ หนาว นี่หนาวมากกกกก แต่ยังมองไม่เห็นวิว เพราะประมาณ 8 โมงเช้า แดดยังไม่มา เมฆหมอกนี่อยู่ตรงหน้าเลย พวกเราเลยตัดสินใจว่าเดี๋ยว 11 โมง ได้เวลาออกไปเที่ยวกันนะ
เอาล่ะ ได้เวลานอน เตียงเดี่ยวของข้า…นอนไป 2 นาที เห้ยยย นี่หนาวมาก ทำไมเตียงนี้ไม่มีฮีทเตอร์ แต่เตียงใหญ่มีล่ะ บอกเลยว่านอนไม่ได้จริงๆ เลยต้องกลายเป็นนอนอัดสาม เปิดฮีทเตอร์ นอนกอดกันมุ้งมิ้งสามคน และเตียงเดี่ยว เป็นที่วางกระเป๋าไปซะ บอกได้เลยว่าทุกมุม ทุกส่วนในห้องหนาวหมด ยกเว้นบนเตียง เลยกลายเป็นคำพูดที่พวกเราติดปากกันว่า “เสื้อกันหนาว ไม่มีประโยชน์เลยว่ะ ขนาดตัวมันเอง ยังหนาวเลย” เพราะแค่หยิบมาใส่ มันก็หนาว มันเย็นไปหมด เพราะที่นี่อยู่บนภูเขา ลมมันพัดแรง บวกกับอากาศหนาว มันเลยหนาวตลอดเวลา
ในเมื่อตัดสินใจมาเที่ยวแล้ว เราก็ต้องอยู่ให้ได้ เสื้อ heattech ที่ไม่รู้ว่ามันช่วยได้มั้ย ต่อด้วยเสื้อยืด ตามด้วยเสื้อกันหนาว ห๊ะ…นี่คนหรือหมี
ในที่สุดพวกเราก็ตัดสินใจเช่ามอไซค์สองคัน ขอแผนที่จากโรงแรม ถามที่เที่ยวจากพนักงาน
ที่เด็ดของซาปา มาแล้วต้องไป แม้จะหนาว แสนจะหนาวววว พวกเราโอ้เอ้ไปมายันบ่ายโมง ต้องหาของกิน กว่าจะได้เที่ยวจริงๆ ก็บ่ายสองกว่าแล้ว เอาเป็นว่าวันนี้ไปที่แรก แสนไกลก่อนเลย แล้ววันรุ่งขึ้นค่อยเก็บใกล้ๆ
“Heaven gate” บอกเลยหนทางแสนจะไกล และหนาวจนทรมานมาก ใส่กางเกงยีนส์ขาดๆ เข็ดเลย ทุกที่ที่มีรู ความหนาวมันจะเข้าไป ด้วยอุณหภูมิ 3 องศา บนภูเขา ที่มีลมพัด และพวกเราอยู่บนมอไซ วันแรกไม่รู้เรื่อง ไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย ดูแผนที่แล้วขับไปเรื่อยๆ เห้ยยยยย…นี่มัน 20 กิโลมาแล้ว บ่ายสามโมงเย็น พวกเราก็ยืนยันจะไป
“Heaven gate” พอไปถึง ดูตามแผนที่ ตามป้าย นี่มันใช่ป่าววะเนี่ย ลมมันพัดแรงมาก เจอป้ายพอดี ก็คงใช่แหละ มองไกลๆ เห็นหิมะ ในภูเขาอยู่ลิบๆ แต่ความรู้สึกตอนนี้คือ หน้าชาปากชา ตัวชาไปหมดแล้ว ในที่สุดพวกเราก็ตัดสินใจกลับกัน ระหว่างทางกลับเจอที่ให้แวะ มีที่จอดรถ พวกเราไม่เคยพลาด เลยเอาซะหน่อยเดินขึ้นเขาสักลูกนึงก็แล้วกัน ยิ่งหนาวเข้าไปอีก แต่คือฟินนนนนน….
เห้ยยย…นี่จะมืดแล้ว ที่นี่ฟ้ามืดเร็วมาก พอตะวันตกดิน ฟ้านี่มืดเลย กลายเป็นว่าวันนี้เรากลับมืดจนได้ ในทางที่เราไม่เคยมา แอบมีหลงเข้าซอยเป็นดินเปียกๆ แน่นอนว่ามีตัวเปรอะกลับบ้าน ในที่สุดเราก็ถึงบ้านเราจนได้ แวะเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้า พักเหนื่อย แล้วเตรียมออกไปหาอาหารกัน
ออกมาตอนสองทุ่ม เห้ยยยเพื่อนๆ อย่าไกลเลย หนาววววว่ะ….กินใกล้ๆ บ้านนี่มั้ย พูดปุ๊บ ล้อหยุดปั๊บ ที่หน้าร้านสุกี้ เดินเข้าไปนั่ง ไม่มีคนออกมารับเลย นั่งสักพัก็ยังอีก เห้ยยย…ไปเหอะ เค้านอนแล้วมั้ง ไม่เป็นไร เดินออกมาเห็นป้ายหน้าร้าน “เห้ยยยย…สุกี้กบ” เกือบแล้วมั๊ยยยยย ในที่สุด อากาศเย็นๆ แบบนี้ เราก็ต้องจัดสุกี้ บาร์บีคิวอยู่ดี มื้อนี้จัดไปหม้อใหญ่ๆ ขากลับแวะซื้อ Hanoi vodka ซะหน่อย นอนหลับสบายยยย
Day 6
วันนี้แดดออกแต่เช้า ดีกว่าเมื่อวานเยอะ แต่อุณหภูมิก็ยังคงเดิม 3 องศา แต่มีแดด เอาล่ะ วันนี้เราคงได้รูปสวยๆ มั่งแหละ พวกเราก็โอ้เอ้ ตามเดิม นี่มันเที่ยงแล้ว กว่าจะออกมาหาของกิน วันนี้มื้อใหญ่จัดเต็ม ตามที่เค้าว่ามาซาปา ต้องโดนปลาแซลมอน ก็เลยจัดไปเน้นๆ 1 กก. ประมาณ 1,200 บาท ซึ่งแปลกดีไม่เคยกินเอาปลาชุบน้ำมะนาว แล้วห่อผัก อีกเมนูที่แนะนำให้กิน vietnam frenchfries รับรองได้ว่าไม่เหมือนทั่วไปแน่นอน
เอาล่ะ วันนี้ เราจะไปอีกมุมของซาปากันแล้ว Ta Van Village (ตาฟาน วิลเลจ) ขี่มอไซจากบ้านเราไปประมาณ 15 กิโลเมตร ด้วยลมหนาว ปนแดด ระหว่างทางสวยมาก สวยจนพูดไม่ออก เจอที่จอดรถที่ไหน เราก็ต้องแวะตลอด ใกล้เย็นแล้ว ไปต่อที่ cat cat village กันด้วยนะ ใกล้ในเมืองเข้ามาหน่อย ทางกลับบ้านนี่แหละ เสียค่าเข้ากับค่าฝากมอไซนิดหน่อย เอ๊ะ…มันมีแผนที่ให้ เป็นทางเดินอ้อมภูเขา เข้าไปในหมู่บ้าน ตอนนี้มืดของจริง ขากลับเรียกว่าเดินขึ้นเขา เพื่อมาเอามอไซ ตอนนี้แหละที่เสื้อ heattech ทำงาน หึ…ร้อนจนได้
วันนี้เดินเยอะหน่อย เหนื่อยมากหน่อย กลับถึงห้องประมาณ 2 ทุ่มกว่า เอาล่ะ มาเข้าห้องน้ำ เอาเสื้อกันหนาวเพิ่ม เพราะอากาศมันเย็นกว่าเดิมมาก เกือบจะ 1 องศาเห็นจะได้ ด้วยความไม่ไหว จนต้องซื้อที่ปิดหน้า เพื่อกันความหนาว ใครที่คิดจะขี่มอไซค์ที่ซาปา แนะนำให้มีเจ้านี่ไว้ แต่ถ้าซื้อที่ร้านชำที่โน่น ก็ตกราคา 15 บาทต่อชิ้น ช่วยได้เยอะจริงๆ นะ และแล้วคืนนี้พวกเราก็จัดเต็มอีกมื้อ อิตาเลี่ยนพิซซ่า สปาเก็ตตี้ ต่อด้วยเค้กชุดใหญ่ แล้วกลับบ้าน มานั่งจิบว้อดก้า เปิดประตูระเบียง ให้ลมหนาว มันพัดเข้ามาในห้อง โอ้โห สุดมากกกกกกกกกกกกกก และแล้วก็ได้เวลานอนอัดสาม คืนสุดท้ายแล้วสินะ
Day 7
วันนี้วันสุดท้ายแล้ว ที่พวกเราจะได้อยู่ที่นี่ มีเวลาซิ่งถึง 4 โมงเย็น เพราะรถตู้จะมารับไปส่งในเมือง lao cai ตอน 5 โมงเย็น ทำตามเสต็ปเดิม อาบน้ำ เช็คเอาท์ ฝากกระเป๋า เล็งที่อาบน้ำ แล้วออกไปเที่ยว หลังจากจัดเต็มมื้อสายแล้ว วันนี้ได้เวลาเก็บอีกมุมของซาปา พูดเลยว่าวันนี้ “หลงทาง” ขี่ไปเรื่อยๆ เห็นรูไหนท่าจะแจ่มก็แวะ โอ้โห…ขี่มอไซค์ขึ้นเขา ดินเปียก เอาแล้ววว ตัวเปรอะอีกแล้ว ไม่เป็นไร ยังไงมาทริปนี้ก็ฟินขนาดนี้ โอ้เอ้ไปมา นี่มันบ่ายสามกว่าแล้ว กลับเหอะ ไปอาบน้ำ เตรียมตัวรอรถมารับ คืนนี้ได้เวลานอนบนรถไฟอะเก๊นนนนน
ในที่สุด เราก็ถึงในตัวเมือง Lao cai สองทุ่มคืนนี้ เราจะนอนกันบนรถไฟ แล้วเจอกันตีห้าครึ่ง ที่ฮานอยนะวัยรุ่น
Day 8
05.30 เห้ยยยยเพื่อนปลุก ตื่นเด้ๆๆ โอ๊ยยย นี่มันยังไม่สว่าง รถไฟเทียบชานชาลาที่ฮานอย อึน เพลีย อากาศประมาณ 15 องศา แบกเป้ backpack เดินมานั่งอึนกันในสถานี แวะแปรงฟัน เข้าห้องน้ำ แล้วกลับไปนอนที่โรงแรมที่เรานอนคืนแรก เพราะพวกเราเนียนคุยไว้แล้ว ตั้งแต่ที่มาฮานอยคืนนั้น อึนไปอึนมาจน 6 โมงกว่า หาแท็กซี่ไปโรงแรม แนะนำว่าถ้าถามหาแท็กซี่ จะเจอเหล่าบรรดาคนขับ เข้ามารุม เพื่อแย่งชิงเรา ควรเดินหนี แล้วหาใหม่ แล้วอย่าลืม มิเตอร์พลีสสสสสสกันด้วยนะ
06.30 เห้ยยยย…ไม่มีเศษตัง 50,000 VND เอาวะ วิ่งไปยืมพนักงานก่อน นางปูผ้าหลับอยู่ หลังจากทำความรู้จักกันไว้ก่อนหน้านี้แล้ว นางชื่อว่าคิง เป็นเวียดนามออริจินอล “คิงๆ เวคอัพ ยืมตังหน่อยดิ่” สลึมสลือ ควักเงินมาให้แล้วนอนต่อ หลังจากที่เราจ่ายค่าแท็กแล้ว เอาแล้วไง ทีนี้ นอนไหน เค้ายังไม่เปิด “คิงๆ มีห้องมั้ย” “โนๆๆ ยังไม่มีคนเช็คเอาท์เลย เค้าเช็คเอาท์ออกตอน 8 โมงนะ” ในที่สุด หนุ่มคิงผู้ใจดี จัดที่นอนให้ “ในครัวววววว” มีโซฟา ผ้าใบ เอาวะ เพลียๆ นอนๆ กันไปก่อน พอห้องนั้นเช็คเอาท์ออก พวกเราเลยได้ไปนอนในห้องกัน กว่าจะตื่นก็ 11 โมงได้ แล้ววันนี้แหละ เราจะออกไปเก็บเมืองฮานอยกัน
เที่ยวกันจนเย็น สองทุ่มเข้าไปแล้ว หาของกินหน่อย เดี๋ยวคืนนี้ หาที่ปาร์ตี้หน่อย ฟรึ่บบบบ!! ไฟดับทั้งเมืองฮานอย อ้าวววว นี่หิวนะ จะกินข้าวได้ไง ผ่านไป 1 ชั่วโมง ที่พวกเราเดินเล่นกันแบบไฟดับ พอไฟมา บรรดาฝรั่ง เฮฮฮฮฮฮ…กันทั้งเมือง นี่ก็นับเป็นอีกเรื่อง ที่เราสะใจกันมาก เรียกว่าครบละแหละ กินข้าวเสร็จ แวะเข้าร้านดื่มซะหน่อย ร้านที่นี่ จะปิดเที่ยงคืน ตำรวจลงร้านต้องปิด ไม่มีหืออือ ได้เวลากลับบ้านแพ็คกระเป๋า พรุ่งนี้ 6 โมงเช้า รถมารับเตรียมตัวกลับไทยแลนด์บ้านเรา แนะนำให้โรงแรมเรียกแท็กซี่ให้ เพราะเค้าจะเหมา ซึ่งราคาถูกกว่าเราเรียกเองแน่นอน
Day 9
สนามบินฮานอย เวลา 9 วันที่หมดไปไวมาก เดี๋ยวเที่ยงๆ เราก็จะกลับถึงไทยแล้ว แล้ววันรุ่งขึ้นเราก็จะต้องกลับมาทำงานตามเดิมแล้ว โดดงานไป 5 วันเสาร์อาทิตย์ ยันเสาร์อาทิตย์ เท่ากับได้เที่ยว 9 วัน สบายใจ ตอนนี้ก็ยังไม่โดนไล่ออกนะจ๊ะ
ยังไงเดี๋ยวจะตามเก็บรีวิวสไตล์โดดงานเที่ยว : เวียดนามใต้, วังเวียง, ปีนัง, เกาะเจจู แล้วเจอกันนะจ๊ะ
เล่าเรื่องโดย: kunbeejourney
ติดตามการโดดงานเที่ยวกันได้: www.facebook.com/kunbeejourney