โกอินเตอร์ ท่องเที่ยวอินเจแปนที่ใครๆ ก็อยากไป “คิวชูเหนือ” เป็นอีกสถานที่แหล่งท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยแหล่งวัฒนธรรมและธรรมชาติที่สวยงาม ที่ต้องมาลองเที่ยวสักครั้งแล้วจะติดใจ
“คิวชู” ชื่อนี้คุ้นๆ กันไหมคร๊าบ ถ้าไม่เคยไปเดี๋ยวพาไป “คิวชู” ถือว่าเป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศญี่ปุ่น ที่มากมายไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยว ขอพร กราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ชมธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ อาหารท้องถิ่นที่มีชื่อเสียง ท่ามกลางความเงียบสงบ และรอยยิ้มของคนที่นี่ ครั้งนี้จะพาไปโกอินเตอร์ 4 วัน 3 คึน ลุย “คิวชูเหนือ” พร้อมแล้วเก็บกระเป๋า ออกเดินทางกันคร๊าบบ
เลือกออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ ประเทศไทย ในช่วงเวลา 01.00 น. เพื่อที่จะไปถึงที่ประเทศญี่ปุ่นในช่วงเช้า จะได้เที่ยวกันเลย
จากประเทศไทยมาถึง “สนามบินฟุกุโอกะ” ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง หลังจากรอรับกระเป๋าก็จะพบกับสัญลักษณ์ของที่นี่ รอต้อนรับกันเลย
การเดินทางของทริปนี้ ได้ใช้บริการของรถแท็กซี่ฟุกุโอกะ เพื่อความสะดวกสบายตลอดทริป (เพราะต้องย้ายโรงแรมกันทุกคืน จะได้เดินทางสะดวก) ขนกระเป๋าขึ้นรถ ได้เวลาเที่ยวคิวชูวันที่ 1
เริ่มต้นทริปแรกกันที่ “สวนประวัติศาสตร์โยชินาการิ” (Yoshinogari Historicak Park) สถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ยุค “ยาโยอิ” ที่ยังคงได้รับการอนุรักษ์ที่ยาวนานมากว่า 700 ปี และยังได้มีการขุดค้นพบสิ่งปลูกสร้างและเครื่องใช้ในทุกช่วงเวลาของยุคยาโยอินี้อีกด้วย พร้อมแล้วเข้าไปดูข้างในกันดีกว่า
ค่าตั๋วการเข้าชม
- ผู้ใหญ่ (15 ปี ขึ้นไป) 480 เยน
- ผู้สูงอายุ (มากกว่า 65 ปี) 200 เยน
เปิดให้เข้ารับชมตั้งแต่เวลา 9.00 – 17.00 น.
ก่อนที่จะไปชมประวัติศาสตร์ก็แวะมาชมความสวยงามของ “ดอกโซบะ” ที่ออกดอกเบ่งบานเต็มทั่วทุ่ง ซึ่งจะออกดอกแค่ในช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายนเพียงเท่านั้น
ชมธรรมชาติกันเสร็จแล้ว ก็ได้เวลามาชมประวัติศาสตร์ ในส่วนของนี้จะได้พบกับสิ่งสำคัญต่างๆ ภายในหมู่บ้าน ได้แก่หลุมฝังศพ, คิตะไนคาคุ (สถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับทำพิธีต่างๆ ในหมู่บ้าน), มินามิไนคาคุ (หอคอยเฝ้าระวัง ที่ตั้งอยู่รอบๆ พระราชวังของกษัตริย์ในยุคยาโยอิ), คลังสินค้ากับตลาด และอื่นๆ อีกมากมาย แถมที่นี่ยังมีชุดให้แต่งเป็นคนสมัยยุคยาโยอิ ไว้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันได้อีกด้วย
กินมื้อเที่ยงกันที่ร้าน “โฮโยโซะ” (Hoyoso) ร้านอาหารและบริการห้องพัก ชมวิวทะเลอะริอะเกะที่สวยงาม
จิบชาเขียว รอเมนูเด็ด “ข้าวหน้าเนื้อปู (คานิมาบุชิ)” เป็นเมนูประจำร้านที่ไม่ควรพลาด … มาแล้ว โอ้โห้ มาเป็นเซ็ตใหญ่ ประกอบได้ด้วยข้าวหน้าเนื้อปู ไข่ตุ๋น ของหวาน พร้อมกับน้ำจิ้ม 3 แบบ ให้ได้เลือกกัน บอกเลยว่าอร่อยมากกก เนื้อปูแน่นๆ เต็มถ้วย เครื่องเคียงก็อร่อย สุโค่ยยยยยย
อย่างที่บอก ที่นี่มีบริการห้องพักกัน สั่งอาหาร นอนแช่ออนเซ็นบนดาดฟ้า ชมบรรยากาศท้องฟ้าและวิวทะเล ถ้าได้นอนสักคืนคงจะฟินน่าดู ฮ่าๆ
กินอิ่ม ชิลกับบรรยากาศริมทะเลกันแล้ว ออกเดินทางต่อไปที่ “ศาลเจ้ายูโตคุ อินาริ” (Yutoku Inari Shrine) เป็นหนึ่งในสามศาลเจ้าที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในบรรดาศาลเจ้าที่นับถือเทพเจ้าอินาริ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่นักท่องเที่ยวจะนิยมมากราบไหว้ ขอพร ขอโชคลาภ ให้ธุรกิจรุ่งเรือง เดินทางปลอดภัย ฯลฯ ยังมีสิ่งปลูกสร้างที่สวยงามและน่าดึงดูดให้เข้ามาชมกัน ภายในสถานที่แห่งนี้ยังมีห้องพิธีกรรมทางศาสนา ประตูใหญ่ รวมไปถึงร้านจำหน่ายเครื่องรางให้ได้ซื้อกลับไปเป็นที่ระลึกกันได้อีกด้วย
พอเดินออกมาจาก “ศาลเจ้ายูโตคุ อินาริ” บริเวณด้านข้างจะมี “ถนนคนเดินยูโตคุ มงเซ็น” แหล่งช้อปปิ้งสตรีทที่มีร้านค้ากว่า 30 ร้าน ตั้งเรียงรายให้ได้เลือกช้อป เลือกชิ้ม ซื้อกลับไปเป็นของฝากัน ไม่ว่าจะเป็น ขนมท้องถิ่น ตุ๊กตาดารุมะ มาเนคิเนโก รวมไปถึงร้านอาหารต่างๆ
ออกเดินทางมายังที่ “ย่านฮิเซ็นฮามาชูกุ” (Hizen Hamashuku) ย่านเก่าแก่ที่เต็มไปด้วยอาคารประวัติศาสตร์ ที่จะมีนักท่องเที่ยวนิยมมาเดินเที่ยวชมบรรยากาศ ชมอารยธรรมที่เก่าแก่ อาคารบ้านเรือน รวมไปถึงสถานที่บ่มเหล้า “สาเก” ที่ขึ้นชื่อของที่นี่
มาถึงย่านการผลิตสาเกที่ขึ้นชื่อกันทั้งที ก็ต้องมาดูประวัติความเป็นมาและขั้นตอนการทำสาเกถึงที่โรงงาน
เดินชม เรียนรู้ ความเป็นมา ขั้นตอนการผลิดกันแล้ว ก็ถึงเวลาต้องชิม สาเก ของที่นี่มีให้เลือกมากมาย มีหลายรส สามารถเลือกชิม และก็ซื้อกลับไปเป็นของฝากติดไม้ ติดมือ กันได้อีกด้วย แต่ที่นี่ไม่ได้มีของดีแค่เพียงสาเกเท่านั้น ยังมีไอศกรีมที่ทำจากสาเก ให้ได้มาลองชิมกันอีกด้วย อร่อยสุดๆ
เที่ยวมาทั้งวัน ก็ได้เวลาเช็คอินเข้าที่พัก คืนแรกนอนกันที่ “นิว นางาซากิ โฮเทล” (New Nagasaki Hotel) โรงแรมใจกลางเมือง บรรยากาศภายในห้องพัก มีเครื่องอำนวยความสะดวกเพียบพร้อม เตียงนุ่มสุดๆ เก็บกระเป๋า เปลี่ยนชุด เตรียมออกไปของกินสำหรับมื้อค่ำ
ออกไปหาของกินกันได้ โดยใช้บริการแท็กซี่ของที่นี่ รถที่นี่จะมีจอไว้สำหรับโชว์แผนที่ ดู GPS กันแทบจะทุกคนเลย
ถึงแล้วที่หมายของเราสำหรับมื้อค่ำที่ร้าน “Robata ASA Kisaburo” สามารถเลือกนั่งได้ทั้งด้านนอกและด้านใน ใครอยากสัมผัสกลิ่นอายของร้านอาหารแบบญี่ปุ่นขนานแท้ก็นั่งข้างใน ส่วนโซนด้านนอกก็จะเป็นส่วนตัวนิดนึง นั่งรับลมเย็นๆ เมนูของทางร้านก็จะมีให้เลือกเยอะแยะมากมาย ได้แก่ ซูชิ ซาซิมิ เนื้อย่าง หมูย่าง ไก่ย่าง สลัดผัก บอกเลยว่าอร่อยทุกเมนู
กินมื้อค่ำกันอิ่มแล้ว ก็มาชมวิวแสงสี วิวยามค่ำคืนของเมือง “นางาซากิ” (Nagasaki) ท่ามกลางความเงียบสงบ รับลมเย็นๆ ก่อนเดินทางเข้าที่พัก
ตื่นเช้าวันที่ 2 ของการอยู่ประเทศญี่ปุ่น กินมื้อเช้าที่โรงแรม เก็บกระเป๋า ขนขึ้นรถตู้แท็กซี่กันแล้ว ขอเดินเก็บบรรยากาศของคนที่นี่กันสักหน่อย ก่อนออกเดินทางเที่ยวกันต่อ
เริ่มเที่ยววันที่ 2 กับสถานที่รถไฟเก่าแก่ติดทะเล “สถานีจิวาตะ” (Chiwata Station) ถือได้ว่าที่นี่เป็น 1 ใน 3 สถานีที่อยู่ติดกับทะเลมากที่สุดในประเทศญี่ปุ่น เป็นสถานีเก่าแก่ที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยปี 1928 ที่มีทัศนียภาพที่สวยงามสามารถมองเห็นอ่าวโอมูระได้อย่างชัดเจน ภายในสถานียังมีมุมให้นั่งพักผ่อนไว้สำหรับรอรอรถไฟ
บรรยากาศบริเวณชานชาลา จะเห็นวิวทะเลสวยๆ ได้อย่างชัดเจน รอสักพักรถไฟก็วิ่งมาให้ได้ชมกัน
ออกเดินทางมาต่อกันที่ “หมู่บ้านฮาซามิ” (Hasami) หมู่บ้านที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมเก่าแก่และอาคารบ้านเรือนที่ยังคงมีการอนุรักษ์ หมู่บ้านแห่งนี้จะขึ้นชื่อในเรื่องของเครื่องปั้นดินเผา สังเกตุง่ายๆ ถ้ามองจากมุมสูงบริเวณจุดชมวิวก็จะเห็นปล่องไฟอยู่ภายในหมู่บ้านหลายแห่งกันเลยทีเดียว
ได้มีโอกาสได้เข้าไปเยี่ยมชมบ้านหลังหนึ่ง ตั้งอยู่ใจกลางหมู่บ้าน จะมีเครื่องปั้นดินเผาที่มีลวดลายต่างๆ มีความสวยงาม ทั้งจาน ชาม ถ้วย ใครที่ชื่นชอบสะสมเครื่องปั้นต่างๆ สามารถที่จะซื้อกลับไปเป็นที่ระลึกได้อีกด้วย
มาต่อกันที่จุดที่ 3 “อุทยานพอร์ชเลน” (Arita Porcelain Park) ภายในอุทยานจะมีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย เช่น พระราชวังฤดูร้อน สวนบาร็อค และอีกหลายสิ่งที่น่าสนใจ รวมไปถึงร้านขายของที่ระลึกของเมืองนี้
นอกจากสถาปัตยกรรมและร้านค้าที่น่าสนใจแล้ว ภายในอุทยานยังมีร้านอาหารที่มีเมนูขึ้นชื่ออย่าง “Imari Beef” ให้ได้มาลองชิมกันอีกด้วย บอกเลยว่าเนื้อของที่นี่ นุ่มละมุนลิ้นสุด ฟินเลยแหละ สำหรับคนที่ชอบกินเมนูเนื้อ สามารถสั่งได้ว่าจะเอาแบบไหนตามใจเราเลย นอกจากเมนูเนื้อแล้ว ก็ยังมีอีกหลายเมนูให้ได้เลือกสั่งกันอีกด้วย
กินอิ่ม ช้อปของฝาก กันเสร็จ ออกเดินทางมาต่อกันที่เมือง “คุมาโมโตะ” (Kumamoto) มาถึงปุ๊บ ก็เจอ “คุมะมง” สัญลักษณ์ของเมืองนี้ มาต้อนรับกันเลย
ก่อนเข้าไปเที่ยวสถานที่ต่อไป ต้องมีการเปลี่ยนชุด โดยการแต่งตัวเป็นคนสไตล์ญี่ปุ่นอย่างชุด “ยูกาตะ” กันก่อน
เปลี่ยนชุดเป็นแบบสไตล์ญี่ปุ่นกันเสร็จ ได้เวลาไปเที่ยวชม “สวนซุยเซนจิ” (Suizenji Koen) สวนสไตล์ญี่ปุ่นขนานแท้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดของจังหวัดคุมาโมโต้ ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ภายในสวนมีความร่มรื่นจากธรรมชาติสีเขียว มีทะเลสาบอยู่ตรงกลางรายล้อมไปด้วยต้นไม้ ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบ
นอกจากภายในสวนจะมีธรรมชาติที่สวยงามแล้ว ก็จะมีศาลเจ้าอยู่ด้านใน ซึ่งนักท่องเที่ยวที่มาเดินเที่ยวชมสวนที่กันแล้ว ก็จะต้องเข้ามากราบไหว้ ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของที่นี่กัน แต่ก่อนที่จะเข้าไปไหว้ ก็ต้องมาทำความสะอาดล้างมือกันก่อน ซึ่งจะเป็นธรรมเนียมของชาวญี่ปุ่นก่อนเข้าไปกราบไหว้กัน จะมีวิธีการบอกเป็นขั้นตอนว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง
บรรยากาศบริเวณรอบๆ ศาลเจ้า ภายในสวนซุยเซนจิ
ทำความสะอาดล้างมือกันแล้ว มาดูขั้นตอนการไหว้ ธรรมเนียมของคนชาวญี่ปุ่น
สำหรับใครที่ชอบการประทับตราเป็นที่ระลึกว่าครั้งหนึ่งเคยมาแล้ว บริเวณของศาลก็จะมีตราประทับให้ได้ปั้มเป็นที่ระลึกกันนะคร๊าบ
ขอเก็บภาพเป็นที่ระลึกสำหรับการใส่ชุดยูกาตะ พอจะเป็นคนญี่ปุ่น ได้ไหมคร๊าบ ฮ่าๆ
ส่วนใครที่ตามหาเครื่องราง ที่นี่ก็จะมีให้เลือกซื้อกัน ทั้งแบบเครื่องรางประจำวันเกิด ปีเกิด หรือเดือนเกิด ให้ได้เลือกซื้อกลับไปฝากเป็นที่ระลึกอีกด้วย
เดินชมสวนกันเสร็จแล้ว บริเวณด้านนอกก็จะมีร้านอาหาร ร้านขายของฝาก ขนม ตุ๊กตาคุมะมง ให้ได้ซื้อไปเป็นของฝากกัน
เที่ยวมาทั้งวัน ก็เดินทางมาถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของที่นี่อย่าง “ปราสาทคุมาโมโต้” (Kumamoto Castle) แลนด์มาร์กสำคัญของเมืองคุมาโมโต้ เป็นปราสาทอีกแห่งที่โด่งดังของประเทศญี่ปุ่น มีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม บนพื้นที่กว้างใหญ่ แต่น่าเสียดายที่ปราสาทแห่งนี้ยังคงปิดปรับปรุงหลังจากถูกแผ่นดินไหวเมื่อเดือนเมษายน ปี 2016 ที่ผ่านมา และต้องใช้เวลาซ่อมแซมกว่า 20 ปี จนกว่าปราสาทจะกลับมาสมบูรณ์เหมือนเดิม T_T
หลังจากชมปราสาทกันเสร็จแล้ว ไปต่อกันที่ “Wakuwaku Za” พิพิธภัณฑ์จัดแสดงโชว์เล่าความเป็นมาของประวัติศาสตร์และเรื่องเล่าของเมืองคุมาโมโต้
บริเวณด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์ก็จะมีร้านค้า ร้านอาหาร ร้านขนม มากมายให้ได้เดินเล่น เดินชิม เดินซื้อขนมกัน
เที่ยวตั้งแต่เช้าจนถึงค่ำ ก็ถึงเวลาเข้าที่พักเช็คอินกันที่ “Kumamoto Castle” เก็บของเปลี่ยนชุด เตรียมออกไปหาของอร่อยกินในยามค่ำคืน
ระหว่างเดินทางไปยังร้านอาหาร ชมบรรยากาศยามค่ำคืนของเมืองคุมาโมโต้ จะมีผู้คนมากมายมาเดินเล่นกันตลอดข้างทาง
ถึงแล้วของอร่อยมื้อดึกของเราที่ร้าน “Higo No Jinya” ร้านเด็ดของเมืองคุมาโมโต้ ที่มีเมนูเด็ดอย่าง “ซาซิมิเนื้อม้า” ให้ได้ลองชิมกัน บรรยากาศภายในร้านก็จะเป็นแบบเรียบง่าย สามารถเลือกนั่งได้ทั้งแบบเค้าเตอร์บาร์ และแบบเป็นโต๊ะ
เมนูอาหารของทางร้านนี้ก็จะคล้ายๆ กับร้านอาหารญี่ปุ่นทั่วไป จะมีเมนูเช่น สลัดผัก ซูชิ ซาซิมิ เมนูสเต็กจานร้อน หมู ไก่ เนื้อ และเมนูเด็ดของทางร้านอย่าง “ซาซิมิม้า” เหนียวๆ นุ่มๆ รสชาติแปลกนิดๆ แต่โดนรวมถึอว่าโอเคเลย
… กินอิ่ม กับเมนูอร่อยมากมาย ก็เป็นการจบทริปของวันที่ 2
อาหารเช้าของทางโรงแรมจะมีแบบให้เลือกเป็นเซ็ต ประมาณ 3 เซ็ต ให้ได้เลือกสั่งกินกันเป็นมื้อเช้า
บรรยากาศหน้าโรงแรม Kumamoto Hotel Castle
ออกเดินทางเที่ยวต่อในวันที่ 3 เริ่มต้นกันที่ “สวนผลไม้คิชิจิเอน” (Kichijien Fruit & Softcream) สวนผลไม้เพื่อการท่องเที่ยว จะมีการจำหน่ายผลไม้สดๆ จากสวน ทั้ง ส้ม แอปเปิ้ล องุ่น ลูกพลับ ให้ได้เลือกซื้อไว้ไปเป็นของฝากกัน
นอกจากผลไม้สดจากสวนแล้ว ยังมีเมนูของหวานอย่างไอศกรีมให้ได้สั่งมาลองชิมอีกด้วย
กินของหวานกันแล้ว ไปเดินชมสวยกันดีกว่า ราคาการเข้าชมสวนของที่นี่ มีให้เลือก 2 แบบ ทั้งแบบเก็บกินที่สวนได้เลย และแบบเก็บกลับไปกินที่บ้าน
ชมสวนผลไม้กันเสร็จ มากินมื้อเที่ยงจากเมนูชากันต่อ มีการตกแต่งร้านแบบเรียบง่าย จิบชา กินมื้อเที่ยง ชมวิวธรรมชาติ
มื้อเที่ยงของวันนี้ “โซบะชาเขียว” เมนูเพื่อสุขภาพ ที่ปราศจากเนื้อสัตว์
ชิมชาสดๆ จากไร่ พร้อมของหวาน
เปิดประสบการณ์ใหม่ ได้เรียนรู้วิธีการทำผงชาเขียว
ภายในร้านยังมีของฝากพวกชาต่างๆ ให้ได้ซื้อกลับไปเป็นที่ระลึกกันอีกด้วย
บริเวณด้านหน้าของร้านชา ก็จะมีความสวยงามของธรรมชาติในฤดูกาลของใบไม้เปลี่ยนสี บอกเลยว่าสวยสุดๆ
ออกเดินทางต่อไปยังที่ “ศาลเจ้าคามาโดะ” (Kamado Shrine) แห่งเมืองดาไซฟุ เป็นศาลเจ้าที่มีชื่อและขอพรเกี่ยวกับเนื้อคู่หรือเรื่องความรัก
บริเวณด้านหน้าของ “ศาลเจ้าคามาโดะ” ที่รายล้อมไปด้วยธรรมชาติ
ที่นี่ยังมีจุดนั่งชมวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยงาม ให้ได้นั่งชมวิวกันเพลินๆ ได้อีกด้วย
ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งแรกของเมืองดาไซฟุแล้ว เดินทางไปต่อที่ “ศาลเจ้าเทนมานกุ” (Tenmangu Shrine) อีกหนึ่งศาลเจ้าที่สำคัญของที่นี่ ระหว่างทางก็จะพบกับร้านขนม โมจิย่างไส้ถั่วแดง (Umegaemochi) ขนมขึ้นชื่อของเมืองดาไซฟุ รวมไปถึงร้านขายของฝากอีกมากมาย
ก่อนที่จะถึง “ศาลเจ้าเทนมานกุ” ก็จะเจอกับสะพานเล็ก 2 สะพาน เพื่อข้ามไปยังศาลเจ้า ซึ่งสะพานแห่งนี้เป็นเหมือนกับสะพานเมื่อก้าวข้ามไปสู่อนาคต ถ้าข้ามกันไปแล้วห้ามกันกลับมามองด้านหลัง
ถึงแล้ว “ศาลเจ้าเทนมานกุ” (Tenmangu Shrine) ถือว่าเป็นศาลเจ้าเทนมานกุที่มีชื่อเสียงติดหนึ่งในสองจากบรรดาศาลเจ้าเทนมากุนับพันๆแห่งในญี่ปุ่นเลยทีเดียว มีความสวยงาม และยังฮอทฮิตในหมู่ของนักท่องเที่ยวอีกด้วย
ไหว้ขอพรกราบสิ่งศักดิ์สิทธิ์กันเสร็จแล้ว ได้เวลาเช็คอินที่ “Solaria Nishitetsu Hotel” โรงแรมสวยใจกลางเมืองฟุกุโอกะ
เก็บกระเป๋ากันเสร็จแล้ว ออกไปเดินเที่ยวชมแสงสียามค่ำของเมืองฟุกุโอกะ
มื้อค่ำคืนสุดท้ายกินเมนูเด็ดขึ้นชื่อของประเทศญี่ปุ่นอย่าง Tonkotsu ramen กันที่ร้าน IPPUDO บรรยากาศร้านตกแต่งแบบสบายๆ สไตล์ร้านอาหารญี่ปุ่น มีเมนูภาษาอังกฤษและรูปภาพ สามารถสั่งได้อย่างง่ายดาย
ร้านนี้จะเด่นในเรื่องของเมนูราเมน บอกเลยว่าอร่อยมากกกกกกกกกก และยังมีเมนูเครื่องเคียงให้ได้เลือกสั่งกัน
อร่อยจากเมนูราเมนร้านดังของที่นี่กันแล้ว มาเดินสัมผัสความเป็นญี่ปุ่นในยามค่ำคืนกันที่ซุ้มอาหารสไตล์ยาไต (Yatai) ซุ้มร้านอาหารเล็กๆ ข้างทาง ที่มีคนเต็มกันแทบทุกร้านเลย
ภายในร้านก็จะมีเมนูมากมาย เช่น โอเด้ง โมจิ เมนูย่างต่างๆ ให้ได้เลือกสั่งมาชิมกัน เป็นการส่งท้ายของคืนสุดท้ายของการอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น
เช้าวันสุดท้าย เริ่มต้นมื้อเช้ากับห้องอาหาร “Red Flamma” ห้องอาหารภายในโรงแรม อาหารเป็นไลน์บุฟเฟต์อาหารนานาชาติ กินมื้อเช้า เก็บบรรยากาศของเมืองฟุกุโอกะ
เดินทางสู่สนามบินฟุกุโอกะ เตรียมตัวเดินทางกลับบ้าน ภายในสนามบินมีร้านขายของมากมาย ของที่ระลึกประจำเมืองนี้ ให้ได้ช้อปกลับไปเป็นของฝาก
เตรียมโบกมือลาเจแปน ก่อนขึ้นเครื่องเดินทางกลับประเทศไทย
บทสรุปของการเที่ยว “คิวชูเหนือ” ในครั้งนี้ บอกเลยว่าเวลาน้อยไปจริงๆ น่าจะมีเวลาในการอยู่ประเทศญี่ปุ่นมากกว่านี้ นี่เป็นเพียงสถานที่ท่องเที่ยวส่วนหนึ่งในคิวชู ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมายที่เต็มไปด้วยธรรมชาติและวัฒนธรรมที่ต้องลองมาเที่ยวชมกันสักครั้ง