จังหวัดขนาดกลางแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกที่อุดมไปด้วยความผสมผสานทั้งสภาพภูมิประเทศที่โอบล้อมด้วยทะเลและขุนเขา
วัฒนธรรมที่หลากหลายแบบไทย-จีน-ฝรั่ง ความห่างไกลจากเมืองหลวงแบบพอฟัดพอเหวี่ยงกับความเหนื่อยล้า ทำให้การเดินทางกลายเป็นความลงตัวเมื่อเราอยากหาสักหนึ่งสถานที่ไว้พักผ่อน
บางทีความศิวิไลซ์ก็เร่งให้เราเหนื่อยเกินไปจนต้องมองหาความเรียบง่ายเพื่อให้ร่างกายได้หายใจ ช้าลง ช้าาาลง
*”เกาะจุฬา” น้อยท่านจะรู้จัก เหตุที่มันทำให้ผมและเพื่อนอีกสองคนต้องเข้าใกล้ความตายมากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต จึงต้องระบุไว้ในความทรงจำและอยากไปซ้ำเพื่อแก้มือ*
คงเป็นอีกทริปเล็กๆที่สร้างความระทึกให้หัวใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง มันไม่เหมือนคราวที่ห้อยโหนรถไฟเมื่อครั้งไปทับเบิก หรือเมื่อครั้งนั่งรถไฟในความมืดกลับบ้านช่วงปีใหม่คราวก่อนเท่าไหร่นัก
แต่ไอ้ความตื่นเต้นที่ว่านี้คือในขณะที่เรากำลังจะเดินทางกันแล้วแต่สมาชิกที่ร่วมทริปดันไม่มีใครให้คำตอบผมได้ว่าจะไป หรือ ไม่ไป
จุดเริ่มต้นของเรื่องเกิดขึ้นเพราะบอยเพื่อนไม่เต็มบาท (เจ้าเก่าครั้งไปทับเบิกด้วยกัน) มันคิดทริปการเดินทางครั้งนี้ขึ้นมาด้วยว่ามันอยากนอนเกาะร้างสักคืน บางคนต้องยกเลิกแคมป์ที่มหาลัยเพราะต้องพาพวกเราไป
โดยเฉพาะเพื่อนชื่อเซเว่น ผู้อำนวยความสะดวกให้กับเราตลอดการเดินทางในครั้งนี้ เหตุคือบอยมันต้องสอบแลปวิชาภาคและต้องทำโปรเจ็ควิชาภาคให้เสร็จภายในเวลาสองวัน ความตื่นเต้นอยู่ตรงที่มันก็หายหัวไปเลย ผมได้แต่บอกให้ทุกคนเตรียมตัว จับยัดเสื้อผ้าลงเป้ รอตื่นเช้าให้มันคาบคำตอบมาบอก ซึ่งเราก็ไม่ได้กดดันอะไรมากแค่บอกว่าถ้าไม่ไปหนึ่งคน ก็ไม่ไปทั้งหมด แหมพูดแค่นี้เองนะ…
เรามีสมาชิกเที่ยวในครั้งนี้จำนวน 7 คน ตื่นแต่เช้าเพื่อรอคำตอบอีกรอบ ปรากฏข่าวดีคือได้ไป และทุกคนก็พร้อมหมดแล้ว แสงแดดยามเช้าที่ร้อนเหมือนตอนเที่ยงเร่งให้เราต้องทำเวลาให้เร็วขึ้น โดยเริ่มต้นที่มหาลัยฝั่งธนจากนั้นไปที่ท่ารถเอกมัยเพื่อตีตั๋วรถโดยสารขนาดใหญ่ ปลายทางระบุความถูกต้องที่เราจะไปว่า ‘กรุงเทพ-จันทบุรี’
แม้จะคุ้นชินกับการนั่งรถเดินทาง แต่ก็อดตึ้นเต้นไม่ได้ เมื่อนึกถึงภาพเพื่อนๆที่นั่งล้อมวงคุยสรวลเฮฮา นึกถึงสถานที่ต่างๆที่ทำให้หัวใจเราโบยบิน
นึกถึงอาหารอร่อยๆ หรือมิตรภาพใหม่ๆที่รออยู่ตรงหน้า ล้อรถได้หมุนพาร่างเหล็กสี่เหลี่ยมอันใหญ่โตออกจากท่ารถแห่งนี้แล้ว มันไปตามเส้นทางเดิมๆของมัน ผ่านตึกรามบ้านช่อง แซงรถน้อยใหญ่ ขวาที ซ้ายที แสงแดดสาดเข้ามาทางฝั่งผู้นั่งริมหน้าต่าง
ทำให้ผมต้องเอื้อมมือจับม่านบางๆแง้มไว้เล็กน้อย เหตุเพราะชอบมองวิวสองข้างทาง มันช่วยทำให้เราได้ปลดปล่อยความคิดหลุดลอยไปเรื่อยเปื่อย จนถึงเวลาที่ร่างกายเริ่มเหนื่อยล้า หนังตาเริ่มหนัก เวลานั้นคงได้งีบหลับสักครู่หนึ่ง…
ปั๊ดโถ่ ! ได้หลับสองบรรทัดกว่าๆ ก็ต้องตื่นขึ้นมาอีกแล้ว ก็เพราะเสียงเล่นเสียงหยอกของเพื่อนๆ ที่นั่งติดๆกัน ไม่ใช่ว่ามันรบกวนเราหรอก แต่มันทำให้เราอยากรู้อยากร่วมวงคุยกับพวกมันด้วยต่างหาก ความหวังดีของพวกมันคือเวลาเห็นเพื่อนหลับก็จะไปสะกิดๆ แล้วถามว่า “เห้ยๆหลับยังๆ” อืมมม เล่นกันจนง่วงไปข้างนึงถึงจะเงียบอีกครั้ง
ผมเป็นคนไม่ชอบกางเกงขายาวเอามากๆ ไม่ชอบขนาดที่ว่าถ้าแอบใส่ไปมหาลัยได้ก็คงใส่ไปแล้ว ทริปเที่ยวจึงเหมือนการปลดปล่อยความอยากที่ถูกตีกรอบไว้นาน (แหม มันดูจะยิ่งใหญ่ไปไหม แค่เรื่องกางเกงเนี่ยะนะ) เหตุผลเพราะเราไม่กลัวดำอยู่แล้ว (เพราะดำจนแดดเกรงใจ)
นี่ถ้าไม่กลัวโดนด่าว่าโรคจิตก็คงถอดเสื้อด้วย …มันแปลกตรงไหน ก็คนมาเที่ยวไม่ได้เข้าประชุม ชีวิตแบบนี้ไม่ได้มีได้ทุกวัน ให้ผิวหนังใต้เสื้อแบรนด์เนมตัวโปรดได้รับไอแดดเสียบ้าง ให้ผิวหน้าและดวงตาภายใต้แว่นดำเท่ห์ๆเจอกับสายลมแรงๆสักหน่อย ให้เท้าที่เคยใส่แต่ผ้าใบยี่ห้อแพงๆได้สัมผัสกับดินหรือพื้นร้อนๆสักครั้ง
หลังจากหลับๆตื่นมาได้ครู่หนึ่ง ไม่เร็วเกินไปที่จะให้หัวใจใช้จินตนาการ และไม่นานเกินไปที่จะทำให้ร่างกายอ่อนล้า ช่วงบ่ายดวงอาทิตย์คล้อยหลัง ท้องฟ้าสดใสกว่าทุกวัน สองข้างทางมีแต่สวนและรถขนส่งผลไม้ โดยเฉพาะทุเรียน และเงาะ ไม่ต้องอ่านป้ายข้างทางก็พอจะเดาได้ ว่าที่นี่ ‘จันทบุรี’
ท่ารถกลางตัวเมืองอยู่ติดกับสนามกีฬากลางจังหวัด และยังอยู่ใกล้กับศาลากลางจังหวัด ฤดูนี้ในความคิดผมคือฝนน่าจะตก ท้องฟ้าคงครึ้มทั้งวัน เสียงฟ้าร้องครืนๆคงดังไม่ขาดสาย แต่กลับกัน ก้อนเมฆสีขาวลอยอ้อยอิ่งติดกันไม่ห่าง สีฟ้าจัดของท้องฟ้าเป็นแบ็คกราวน์ชั้นดี
มองไปทางไหนก็ไม่มีทีท่าว่าฝนจะตก เสียชื่อของฤดูฝนหมดเลย เราแวะพักกันที่ร้านอาหารในตัวท่ารถซึ่งต้องปรับร่างกายปรับความเข้าใจและเคลียร์เงินกันเป็นรอบๆ ซึ่งพวกเราจะเป็นแบบนี้ทุกครั้ง
ส่วนใหญ่ผมจะให้เพื่อนแต่ละคนออกค่าใช้จ่ายไปก่อน เช่นค่ารถ ค่าข้าว และเงินกองกลาง จะมีผู้รับผิดชอบ เมื่อถึงเวลาว่างก็จะนัดกันมาเคลียร์เงินกันทีละรอบ โดยอาร์มหนุ่มมาดแมนลูกผู้ดีเก่าจากภาคอิสานตอนล่างจะคอยเป็นเหรัญญิกให้ซะส่วนใหญ่ (ก็เพราะมันต้องดูแลค่าเหล้าค่าเบียร์นั่นแหละ)
…เซเว่น หนุ่มเจ้าถิ่นพาเราไปขึ้นรถสองแถว ก่อนจะออกจากท่ารถเมืองจัน เพื่อนถามว่าจะไปดูโบสถ์กับเดินเล่นตามหมู่บ้านไหม ไม่รู้ว่าสมาชิกคนอื่นๆคิดอย่างไร
สำหรับผมคิดในใจว่าอะไรทำให้เราเร่งรีบ บ่ายไม่ได้มีเรียน หรือว่าต้องกลับกรุงเทพตอนสองทุ่ม ก็เปล่า แม้ที่เที่ยวในประเทศไทยมันเดินทางไม่กี่ชั่วโมงก็ถึง แต่โอกาสที่จะได้มามันก็ไม่บ่อยนัก หากเจ้าถิ่นแนะนำจะดีหรือร้ายอย่างไร ก็ควรไปเสียหน่อย เที่ยวให้คุ้ม
เรานั่งรถสองแถวมาได้ครู่เดียว ก็เข้าสู่สถานที่ตั้งโบสถ์ซึ่งมีอายุการก่อสร้างเก่าแก่ถึง 300 ปี มีชื่อเต็มอันไพเราะว่า ‘อาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมล’ เป็นสถาปัตยกรรมที่ขึ้นชื่อว่าสวยงามที่สุดในเอเชีย
ซึ่งด้านหน้าโบสถ์ชาวคริสต์ในจังหวัดจันทบุรีได้จัดสร้างรูปหล่อพระนางมารีอา ทำด้วยทองคำขาวน้ำหนักมากถึง 76 กิโลกรัม บริเวณภายนอกดูกว้างขวางสบายตา
มีเพียงตัวโบสถ์เท่านั้นที่ยืนหยัดท้าทายแดดลมฝนต้อนรับนักท่องเที่ยว และยิ่งเป็นวันที่ท้องฟ้าเป็นใจ ไม่มีอะไรดูสวยงามกว่าสถานที่แห่งนี้ ณ.เวลานี้อีกแล้ว
เพื่อนเจ้าถิ่นบอกกับเราในขณะที่เดินดุ่มๆก่อนจะเข้าโบสถ์ว่า “ไม่รู้เขาจะปิดหรือเปล่า” ซึ่งผมก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรนัก เนื่องจากภายนอกก็สวยงามและพอใจกับการเก็บภาพแล้ว
แต่นับว่าเป็นโชคดีที่โบสถ์นั้นยังคงเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวให้เข้าไปชมด้านใน แต่หลังจากเข้าไปชมแล้ว ผมคงจะงอนเพื่อนและเจ้าหน้าที่ดูแลโบสถ์แน่ๆ หากว่าปิดในวันที่พวกเราเดินทางมา เพราะมันสวยงามและดูล้ำค่ามากจริงๆ
ยิ่งได้เข้าไปยืนชม นั่งชม ยิ่งได้ความรู้สึกเหมือนหนังฝรั่งหลายๆเรื่อง ที่ชอบมีภาพภายในของโบสถ์ปรากฏให้เห็นบ่อยๆ อีกทั้งแดดที่ร้อนแรงกล้าข้างนอกนั่นยิ่งทำให้รู้สึกว่าข้างในสถาปัตยกรรมทางศาสนาแห่งนี้ดูสงบและเย็นสบายยิ่งนักจนอยากนอน (เริ่มง่วงแล้ว)
หลังจากที่เดิน นั่ง นอน ชมโบสถ์แห่งนี้และพักกันครู่ใหญ่แล้ว เราก็จำเป็นต้องเดินทางต่อ ด้วยการเดิน ซึ่งจุดประสงค์หลักคือการไปขึ้นรถที่ท่ารถสองแถวในตลาด
โดยต้องเดินผ่านชุมชนเล็กๆแห่งหนึ่งซึ่งความน่ารักของชุมชมนี้คือมีป้ายแผนที่ขนาดใหญ่ติดบอกเส้นทางอย่างละเอียด พร้อมระบุชื่ออย่างเป็นทางการว่า ‘ชุมนุมริมน้ำจันทบูร’ สายตาผมส่องไปรอบๆ ดูไปแล้วก็คล้ายอัมพวา หรือเพลินวาน อะไรทำนองนั้น แต่ที่ทำให้ยิ้มออกอย่างหนึ่งคือ ณ ถนนเส้นนี้ ชุมชนเล็กๆแห่งนี้ เคยเป็นสถานที่ถ่ายทำโฆษณาของ Scott รังนกแท้ (เพลง ดู ดู๊ ดู ดู เธอทำ นั่นแหละครับ) ไม่น่าเชื่อว่าภาพความคลาสสิคแบบนั้นจะไปโผล่ไปจอแก้ว โดยหลอกตาคนอย่างผมได้ว่าเป็นสถานที่ตามเมืองนอกเมืองนา
ความหลากหลายของวัฒธรรมนี่จันทบุรีผสมผสานกันจนผมเองก็สับสนเหมือนกัน เช่น วัดเขตร์นาบุญญารามที่มีธีมเป็นสีแดง ดูลวดลายสื่อถึงความเป็นจีนแผ่นดินใหญ่ และพระพุทธรูปหรือสิ่งศักสิทธิ์ที่ไหว้บูชากันก็ผสมผสานจนผมเองเลือกไม่ถูกเลยจะไหว้แบบไหน นั่งท่าอะไร หรือเพราะเราต่างหากที่ไม่เคยคิดจะไปเรียนรู้วัฒธรรม-ศาสนาอื่นๆ ทำให้ดูแปลกตาแปลกใจไปเสียทุกอย่าง
คณะเดินทางของเราได้มาถึงจุดขึ้นรถ แต่บรรยากาศที่เดินผ่านมานั้นมันดูแปลกใหม่ ตึกรามบ้านช่องในแบบที่เก่าคร่ำครึ ป้ายร้านส่วนใหญ่เป็นภาษาจีน ตามด้วยกลิ่นบรรยากาศแบบบ้านๆ …ก่อนขึ้นรถแวะซื้อของเพิ่มเติมเล็กน้อย พอถึงรถโชเฟอร์คนขับก็พร้อมออกทันทีเลยไม่ต้องรอลูกค้ารายอื่น คงเพราะจำนวนของเราผสมโรงกับคุณป้าคุณยายที่นั่งอยู่ก่อนก็คงมากเพียงพอแล้วล่ะมั้ง
เส้นทางอันแสนราบเรียบเลาะลัดไปตามชานเมือง รถสองแถวอายุราวชายฉกรรจ์ผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย กำลังพาร่างชายหนุ่มที่แบกความฝันและหัวใจดวงน้อยไปยังสถานที่ในจินตนาการ ดวงอาทิตย์ยามบ่ายแก่เริ่มจมลงหายอย่างช้าๆสวนทางกับความเร็วรถที่ต้องทำเวลาเพิ่มมากขึ้น สองข้างทางเป็นป่าเขียวซึ่งส่วนใหญ่เป็นสวนผลไม้ ทางข้างหน้าเป็นถนนสายหลักเห็นไอร้อนของแดดอยู่รำไร บนหัวของเราเป็นท้องฟ้าซึ่งบัดนี้คงกระหยิ่มยิ้มอยู่ในใจราวว่ามันเกิดมาชื่อท้องฟ้าก็ฟ้าสดสมชื่อแล้ว
น่าดีใจกับคนจันทบุรีอย่างหนึ่งคือ มีถนนให้ปั่นจักรยานได้เยอะ และเส้นทางไกลๆ แต่ที่เห็นจะมีมากก็คงจะเป็นเสือภูเขา ซึ่งคงไม่แปลกนักที่จะเห็นนักปั่นอยู่บนเขาสูงๆ มีช่วงหนึ่งที่ผมกับบอยโดยสารไปกับซุปเปอร์ไบค์อย่างมอเตอร์ไซต์ซูซูกิ คริสตัล เส้นทางภูเขาขรุขระกันดาร ในขณะที่เรากำลังเรากลัวว่าถ้าเครื่องไม่น็อคก่อนคนก็ลุ้นหัวใจวายก่อนแน่ แต่กลับเห็นพี่ๆปั่นเสือภูเขาอย่างเอาจริงเอาจัง ราวกับว่านี่คือสนามซ้อมที่ไม่ต้องปรับแต่งอะไรเพิ่มเติมเลย แล้วอย่างนี้จะไม่ให้น่าดีใจได้อย่างไร
สองล้อเก่าๆที่บดกับถนนอันร้อนระอุมาได้พักใหญ่หยุดลงตรงหน้าที่พักแห่งหนึ่ง พวกเราที่นั่งบ้างยืนบ้างต่างก็ขนสัมภาระลงรถพร้อมกับบิดขี้เกียจยืดแข้งยืดขาคนละทีสองที นี่คือคำตอบของการที่ให้เจ้าถิ่นให้พาเรามานี่ที่ ก็เพราะที่พักที่ผมเอ่ยถึงก็คือรีสอร์ทของเซเว่นเพื่อนเรานั่นเอง (เห็นประโยชน์ก็คราวนี้ล่ะ)
ที่พักนามว่า ‘บ้านสบาย’ แห่งนี้เรียกได้ว่าค่อนข้างสบายสมชื่อเนื่องจากความสะดวกต่างๆที่เอื้ออำนวยกับการท่องเที่ยว แม้แต่นักนิยมการแบ็คแพ็คที่ไม่มีรถส่วนตัวก็ไม่ต้องกังวัล เพราะทันทีที่เราลงรถก็แวะซื้อเครื่องดื่มแล้วเดินไป 10 ก้าวผ่านบ่อน้ำขนาดใหญ่ก็เข้าสู่ที่พักได้เลย หรือหากต้องการวางแผนการท่องเที่ยวล่วงหน้าก็แค่ระบุคำค้นหาว่า ‘บ้านสบาย หาดแหลมสิงห์’ ก็จะเห็นว่าที่พักติดกับปั้ม ปตท. ใครที่นิยมการขับรถเที่ยวก็ไม่ต้องกังวัลเรื่องหาที่เติมน้ำมันไม่ได้ ส่วนเรื่องอาหารการกินนั้นหายห่วง เพราะเพิ่มระยะเดินเป็น 30 ก้าว ก็ถึงตลาดสดแล้ว และโดยเฉพาะวันเสาร์ก็จะมีตลาดนัดใหญ่ที่เหมือนมีไว้เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวในวันหยุดให้เราได้เลือกซื้อกับข้าวกันเพลินๆ
บริเวณด้านหน้าของที่พักนั้นเสมือนล็อบบี้โรงแรมที่มีมุมไว้นั่งพักผ่อน มีกาแฟเครื่องดื่มและขนมไว้บริการ ช่วงที่พวกเราเก็บของและจัดแจงธุระส่วนตัวเสร็จแล้ว ก็ชอบมานั่งเล่นกันบ่อยๆ เหตุเพราะความร่มรื่นของที่นี่และความเป็นกันเองของคุณแม่เซเว่น ที่แม้พวกเราจะมารบกวนก็ยินดีต้อนรับพวกเราอย่างเต็มที่ มันสบายขนาดที่ว่าเราเอาเสื่อมาปูตรงสนามหญ้าแล้วนั่งร้องเพลงเล่นกีตาร์ไล่แขกกันเลยทีเดียว แม้กระทั่งนักท่องเที่ยวบางท่านที่ชอบโน๊ตเรื่องราวอะไรบางอย่างหรืออยากหามุมไว้อ่านหนังสือ ‘บ้านสบายแห่งนี้ตอบโจทย์ท่านได้’
ห้องพักที่เราอยู่กันเป็นลักษณะเหมือนทาวเฮาส์ที่อยู่ติดกัน ข้อดีของมันก็คือหากสมาชิกที่มาพักมีจำนวนมาก เราสามารถแยกห้องนอนแต่ปาร์ตี้รวมกันได้ เพราะลานระเบียงริมน้ำสามารถมุดลอดไป-มาได้ (ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า ฮ่าๆ) และสิ่งที่ชอบที่สุดคือการมีโซนที่นอนแบบชั้นครึ่ง มีบันไดให้ปีนขึ้นไปนอนราวหนังฝรั่งบางเรื่องซึ่งที่นอนข้างบนจะเป็นแบบฟูกนอน จะจัดสรรแยกโซนกันอย่างไรก็ทำได้เลย โซนชั้นบนนี้หากเป็นคนทั่วไปจะบรรจุได้ประมาณ 3 คน หากเป็นพวกผมน่าจะจุได้ราวๆ 5 คนเป็นอย่างต่ำ
ส่วนชั้นล่างก็จะมีเตียงขนาดใหญ่ พร้อมประตูกระจกบานเลื่อนที่กั้นไว้ระหว่างลานระเบียงริมน้ำ ให้นั่งกินนั่งเล่นได้ตามใจชอบ เรื่องที่หลับที่นอนสำหรับพวกเราดูจะไม่ค่อยสำคัญเท่าไหร่นักหากว่ามันเคลิ้มด้วยเครื่องดื่มบางอย่าง ตรงไหนก็นอนได้
ในเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกมีตู้เย็นและทีวีไว้บริการ แต่เราคงไม่ตื่นเต้นนักเพราะชีวิตมหาลัยร้อยวันพันปีก็ไม่เคยเปิดทีวีดูข่าวหรือละครเลย เว้นเสียแต่ตู้เย็นที่ไว้แช่เครื่องดื่ม และมีแอร์คอนดิชั่น 1 เครื่อง
เราต้องพึ่งเคหสถานบริเวณนี้บ่อยมาก ทั้งตลาดนัด ตลาดสด ร้านอาหาร แม้กระทั่งร้านสะดวกซื้อ ข้างในตลาดเป็นอีกชุมนุมเล็กๆ ที่พวกเราฝากท้องไว้ที่นี่ โดยเฉพาะเพื่อนที่ชื่อว่า ‘อาร์ม’ ทันทีที่มันตื่น ไม่ว่าจะเป็น 6 โมงเช้า หรือ 6 โมงเย็น คำแรกที่หลุดออกมาจากปากเพื่อนคนนี้คือ “หิวข้าวววววว!”
แม้ลมทะเลอาจไม่ให้ความรู้สึกเย็นสบายแบบสายลมตามเมืองหนาวที่มีแต่ภูเขา แต่มันก็ให้ความรู้สึกโปร่งโล่งสบาย แทบจะตลอดทริปผมกับบอยไม่ได้ใส่เสื้อเลย เราสวมวิญญาณเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ ขี่มอเตอร์ไซต์แว๊นๆไปตามชุมนุมเล็กๆ (ใครอ่านเจอข้อความนี้ได้โปรดอย่าเลียนแบบครับ เพราะในขณะที่พิมพ์อยู่นี้ผมยังแสบหลังไม่หายเลย)
หากมีสินค้าอยู่ในหัว 1 ชิ้นที่จะซื้อ เราก็จะได้กลับมา 1 ชิ้น แต่ถ้าไม่มีสินค้าที่จะซื้ออยู่ในหัวแม้แต่ชิ้นเดียว เราอาจได้กลับมาเป็นสิบ นี่เป็นคอนเซ็ปของร้านขายของแบบนี้หรือเปล่า ‘ทุกอย่าง 10 บาท’ หรือ ‘ทุกอย่าง 20บาท’ ครั้งแรกก็กะเพียงแวะไปซื้อรองเท้าแตะสัก 1 คู่ ดันเจอมีด เจอเขียง เจอเชือก ไฟฉาย กระทะ หม้อ ช้อน โอวววส์ เงินกองกลางซะด้วย เหมามาหมดเลยแล้วกัน บางทีเรื่องของคุณภาพก็ไม่จำเป็น เพราะราคาแบบนี้ใช้แล้วทิ้ง หรือถ้าทำหายไปก็ไม่เสียดาย
มีเพียงสองสิ่งที่ผมขอไว้เป็นองค์ประกอบหลักสำหรับที่พัก คือ ที่นอน และ ที่กิน เพราะส่วนใหญ่พวกเราจะวางแผนไว้สำหรับมื้อหลัก 1 มื้อ ซึ่งจะเป็นช่วงเย็น
โดยเริ่มจากรวมเงินกองกลาง แบ่งคนไปซื้อของสด และอุปกรณ์ทำกิน ส่วนค่าของมึนเมานั้นพวกมันก็หารกันอีกทีเพราะผมไม่ดื่มจึงไม่ได้ยุ่งในส่วนนี้ วงกับข้าวมักเริ่มต้นประมาณ 3 ทุ่มกว่าๆ
ซึ่งกว่าจะเปรมกันก็ราวเที่ยงคืน ส่วนเวลานอนคือประมาณตี 3 นั่นคือส่วนเกินที่เรามักตั้งวงสรวลเฮฮากันอย่างออกรสชาติ เรื่องเก่าๆมักถูกขุดคุ้ยมาจากลิ้นชักความทรงจำ “เรียนที่ไหนวะ เห้ยเราเจอกันได้ไง วันนั้นโดดไปดูหนังแล้วดันตกรถนี่หว่าจำได้ไหม” หรือจะเป็นเรื่องสดใหม่ที่เรามักเจอระหว่างทางทั้งเรื่องที่ล้อกันเองในกลุ่ม ไม่ก็พูดถึงสาวๆที่เจอระหว่างทาง ทุกๆเรื่องราวเล็กๆของแต่ละคน พอได้โยนประเด็นเข้ามาในวงสนธนาแล้ว มักเรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มได้ทุกครั้ง สิ่งนี้แหละเป็นนิทานชั้นดีก่อนส่งพวกเราเข้านอน
ก่อนช่วงเย็นของวันแรกจะมาถึง มีเรื่องหนึ่งอยากเล่าให้ฟัง เราทราบก่อนจะมาว่ามีเรือคายัคให้พายเล่นซึ่งตามแพลนของทริปนี้เมื่อผสมกับสีสันของท้องฟ้า มันช่างดูเรียบง่ายแสนสบายตามชื่อรีสอร์ทอย่างไรอย่างนั้น แต่กลับเป็นทริปเล็กๆที่ทำให้ผมและเพื่อนอีกสองคนพายเรือเฉียดเข้าไปใกล้ความตายมากที่สุด
เราเก็บสัมภาระเข้าที่กันได้สักพักใหญ่แล้ว ช่วงประมาณ 4 โมงเย็นทุกคนก็ฟรี บ้างนอนเล่น บ้างนั่งทำงาน (ไอ้บอยทำรูปเล่มโปรเจ็คยังไม่เสร็จ) บ้างหาอะไรอร่อยๆกิน ตามแผนเดิมจะมีการค้างคืนที่เกาะจุฬา ซึ่งเราคิดว่าจะลองสำรวจกันก่อนเพื่อจะได้วางแผนและเตรียมของได้ถูก ก่อนหน้านั้นเราเช็คสภาพอากาศ และการขึ้นลงของน้ำ พบว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ ผมกับเพื่อนอีก 2 คน คือปริญ และเต้ย คว้าไม้พายสองเล่ม พร้อมกับเข็นเรือคายัคหนึ่งลำด้วยความอยากเล่น เราลืมไปทุกๆอย่าง ลืมเช็คความพร้อมของร่างกาย ลืมดูคลื่นลม ลืมแม้กระทั่งเสื้อชูชีพ…
เราลากเรือมาถึงหาดแม้ผมจะเริ่มรู้สึกว่าคลื่นลมตอนนั้นแรงแต่กลับไม่ได้วิตกอะไร รวมทั้งเพื่อนอีกสองคนก็อยากพายเรือไปเกาะกันจนตัวสั่น ของมีค่าของเรามีเพียงโทรศัพท์หนึ่งเครื่องและเครื่องดื่มที่ซื้อติดมาเล็กน้อย เมื่อถามกันก่อนแล้วว่า”พายเรือเป็นไหม” ทุกคนตอบว่า “เป็น” …เราดันเรือลงทะเลเป็นครั้งแรก และขึ้นเรือห่างจาฝั่งเพียง 5 เมตร เรือก็คว่ำเสียแล้ว ไม่มีความคิดทางเหตุและผลที่ว่าขนาดใกล้ฝั่งเรือยังคว่ำ แล้วจะยังไปต่ออีกหรือ และทางกลับกันก็ไม่มีความคิดทางความเชื่อที่ว่า มันจะเป็นลางร้ายบอกเหตุห้ามไม่ให้ไปหรือเปล่า สิ่งเหล่านี้ถูกกลบด้วยคำว่า ‘อยาก’ เพียงเท่านี้ที่ทำให้ลืมอะไรหลายๆอย่างรวมถึงทิ้งสติสัมปชัญญะไว้ที่หาดแหลมสิงห์เสียแล้ว
ตอนนี้เรือลอยลำอยู่กลางทะเล แต่ทิศทางที่เรือตรงไปนั้นกลับทะลุออกอ่าว ซึ่งด้านขวาจะเป็นแหลมสิงห์ที่ยืนออกมา และด้านซ้ายเป็นเกาะจุฬา เหมือนเสาสองด้าน เรือลำเล็กๆของเราที่โคลงเคลงไปมานั้นลอยลำอยู่ตรงกลาง ไม่สามารถเบนหัวเรือได้เลยเนื่องจากคลื่นที่ซัดเข้ามามีความสูงราวๆ 1 เมตร
ด้วยความกลัวว่าหากเราเบนหัวเรือและหันข้างให้กับคลื่นเรือต้องคว่ำแน่นอน เรือแทบจะลอยลำเลยเขตเกาะจุฬาไปแล้ว ทันทีที่เห็นด้านหลังของเกาะร้างแห่งนี้ ความคิดแรกที่เข้ามาในหัวคือ “นี่มันเกาะอิสลา นูบลาร์ ไม่ก็ อิสลา ซอร์นา ในหนังเรื่อง Jurassic Park ชัดๆ” ผิดที่ขนาดมันเล็กกว่าเท่านั้น เพราะมรสมุลมที่แรงหอบพัดเอาคลื่นสูงเป็นเมตรซัดกระทบกับหินแหลมคลื่นแตกฟองเสียงดังราวฟ้าผ่า
หากเรือเปลี่ยนทิศจะด้วยความตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แล้วเข้าด้านหลังเกาะที่มีแต่โขดหินซอกหินโสโครก ถ้าเรือที่ทำด้วยไฟเบอร์กลาสไม่แตกละเอียดไปเสียก่อน พวกเราก็คงจมและถูกแรงคลื่นกดร่างให้หายลับลงไปหลังเกาะทันที เกาะที่พวกเราวางแผนว่าจะไปนอน 1 คืน อาจกลายเป็นต้องพาร่างไปนอนจมหายอยู่ชั่วกัปชั่วกัลป์
สติและหัวใจมันคงจมหล่นหายไปนอนกองอยู่ก้นทะเลเสียแล้ว ทำให้แม้กระทั่งการจ้วงใบพายลงน้ำหนึ่งครั้ง ก็ต้องทวนคำพูดตัวเองตามไปด้วย ว่าจะซ้ายหรือขวา
เราทำได้เพียงหันหัวเรือให้ตรงเพื่อตัดคลื่นที่โถมเข้ามา “พายเรือเป็นไหม?…เป็น!” ก็คงไม่ต่างอะไรกับการว่ายน้ำในสระน้ำใสไร้ลมแรง เมื่อเจอกับคลื่นทะเลที่ไม่มีความปราณีอะไรกับชีวิตเล็กๆเหล่านี้ มันไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าเรามีความหวังที่จะใช้แรงกายเอาชนะพลังธรรมชาติได้เลย
ถ้าปล่อยไว้แบบนี้เรือคงลอยลำออกไปไกลเจอเรือใหญ่จะยิ่งลำบากแน่ๆ สุดท้ายตัดสินใจหันหัวเรือกลับอย่างกระทันหัน แรงที่เคยใช้ซ้อมวิ่งมีมาเท่าไหร่โอนใส่ที่แขนและส่งไปยังไม้พายให้หมด หากไม่มีคลื่นเราก็พายตัดให้ลำเรือเฉียงเพื่อขึ้นเกาะทางด้านหน้าซึ่งมีหาดทรายเล็กๆให้หัวเรือได้ทิ่มขึ้นฝั่งได้ ไม่เกิน 10 นาทีในความเป็นจริง แต่ราว 2 ปี ในความคิด ในหัวไม่มีอะไรเลยนอกจากพาร่างที่อยู่บนเรือเล็กๆลำนี้เข้าฝั่ง และคิดอีกอย่างว่าจะมีโอกาสไปเล่าเรื่องโง่ๆแบบนี้ให้ใครฟังหรือเปล่า
ความเหนื่อยเพียงครึ่งทางจบสิ้นลง เมื่อเอาเรือขึ้นเกาะได้ ทรายบนเกาะช่างนุ่มนวลราวเตียงนอนในโรงแรมห้าดาว ผมอยากวิ่งอยากกระโดดโลดเต้นไปทุกที่ อารมณ์แบบนี้หรือเปล่าที่คนเดินเรือยาวนานเป็นเรือแรมปีใฝ่ฝั่นการเหยียบแผ่นดินใหญ่
เราพยายามสำรวจเกาะแห่งนี้ให้ทั่ว ซึ่งค่อนข้างผิดคาดจากความคิดเดิมที่เรียกเกาะจุฬาว่า ‘เกาะเล็กๆ’ เพราะความจริงแล้วมันเต็มไปด้วยแมกไม้คล้ายป่าดงดิบที่กระจุกอยู่ตรงกลางเกาะ และรอบๆเกาะเป็นหาดทรายเพียง 10 เปอร์เซ็น ที่เหลือนั้นเป็นโขดหินน้อยใหญ่มากมาย แต่ใช่ว่าจะเป็นเกาะรกร้างเสียทีเดียว
เนื่องจากพื้นที่เกาะห่างจากแผ่นดินไม่มากนักและที่ดินแห่งที่ก็เป็นของกองทัพเรือ เราจึงพบสิ่งปลูกสร้างเป็นอาคารร้างขนาดเท่าบ้านคนหลังหนึ่ง
ผมวิ่งสำรวจเกาะซึ่งถูกจำกัดพื้นที่เพียงเล็กน้อยอยู่ประมาณ 15 นาที อีกใจอยากเดินสำรวจให้ทั่วแต่ลึกๆก็หวั่นวิตกกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา และยิ่งคิดถึงตอนพายเรือกลับก็ยิ่งจิตตกเข้าไปอีก เพราะเกาะที่ห่างจากฝั่งแบบนี้คลื่นลมแรงมาก หรือว่ากันตามตรงคือเราไม่มีประสบการณ์การพายเรือในทะเล ยิ่งไม่มีเสื้อชูชีพยิ่งทำให้หัวใจฝ่อ จึงทำได้เพียงโทษสภาพอากาศ ความตื่นเต้นจากการสำรวจรอบเกาะหมดไป
ความเหนื่อยล้าและอาหารกระหายน้ำเข้ามาแทนที่ เราเหลือน้ำเปล่า 1 ขวดเท่านั้น แบ่งกันกินพอให้หายอยาก คิดไปถึงขนาดที่ว่าหากต้องติดเกาะถึงพรุ่งนี้ จะอยู่กันอย่างไร ข้าวปลาอาหารพออดได้ แต่ขาดน้ำจืดร่างกายคงแย่แน่ๆ ผมยกนาฬิกาข้อมูลขึ้นมาตรวจเช็คเวลาอีกครั้ง
หลังจากปริญเตือนว่าใกล้จะโพล้เพล้แล้ว เพราะหากความมืดเข้าปกคลุมเมื่อไหร่ ความน่ากลัวจะยิ่งทับถมให้หัวใจเราเล็กลงมากขึ้นเท่านั้น เราช่วยกันหาจุดลงเรือแล้วเราแพ็คของใหม่อีกครั้งโดยเฉพาะโทรศัพท์ของเต้ย ซึ่งอย่างน้อยก็พอที่จะเอามาเก็บภาพได้บ้าง
ผมต้องใช้แผนใหม่เท่าที่คิดออกในหัว อันดับแรกหากเรือคว่ำแล้วจมลงเราจะไม่มีที่ยึดอีกเลย และไม่เกิน 5 นาที ร่างของเราจะต้องจมลงไปตามเรือคายัคลำนั้นแน่นอน จึงพยายามรวบรวมโฟม ซึ่งเป็นโฟมที่เรือประมงหาปลาใช้กัน ผุพังบ้างดีบ้าง แล้วแต่สภาพที่จะพอหาได้
จากนั้นหาเชือกตามชายฝั่งซึ่งลอยมากับเศษซากต่างๆ ด้วยความคิดที่ว่า หากต้องลอยคอกับโฟมแล้วอย่างน้อยก็ผูกติดกันไว้ ลอยคอไปด้วยกัน กว่าจะตัดเชือกแต่ละเส้นได้ก็ใช้เวลา เพราะของติดตัวไม่มีอะไรเลย ต้องใช้หินตัดเชือก เอาไม้ผ่าโฟม คิดแล้วนึกถึงหนังเรื่อง Cast Away แต่ถ้าพกมีดหรือมัลติทูลมาสัก 1 ชิ้น เราคงเปลี่ยนหนังเป็นเรื่อง 127 hours และถ้ารอดไปได้สัญญาว่าจะกลับไปดูรายการช่วงวันศุกร์ตอนเย็น
เมื่อเตรียมตัวเตรียมใจดีแล้วเราเข็นเรือและจ้วงพายบังคับมันอีกครั้ง ความท้าท้ายใหม่คือคลื่นไม่ได้มาจากทิศทางเดียว ลองนึกภาพเกาะที่อยู่ห่างจากชายฝั่ง และมีคลื่นจากอ่าวไทยซัดเข้ามา พอคลื่นกระทบที่ขอบเกาะทั้งสองด้านแล้ว ก็จะเกิดเป็นคลื่นลูกใหม่ซึ่งจะโถมเข้ามาตรงกลาง คล้ายกับว่าเรานั่งอยู่ในอ่างน้ำแล้วกางมือออก 180 องศา จากนั้นกวาดตีมือทั้งสองด้านเข้าหากัน อารมณ์ประมาณพระเอกหนังจีนที่ต้องนำทัพรับศึกสองด้านอย่างไรอย่างนั้น เราประคับประคองเรือแบบทุลักทุเลในทะเล ห่างออกมาจากเกาะในระดับที่ว่าต้องไปต่อแล้ว กัดฟันพายต่อ นึกถึงภาพตอนขึ้นฝั่งที่หาดคงมีความสุขน่าดู… ตู้มมมมม !! โครมมมม !! …หมดกันสร้างมากับมือ ของทุกอย่างลอยกระจายเกลื่อนรอบเรือ ไม่มีใครมีสติหรือบ้าพอที่จะเอามือคว้ารองเท้าหรือขวดน้ำเปล่า อย่างแรกที่ทำคือคว้าเรือเพื่อเกาะมันไว้ เราทั้งสามคนลอยคอท่ามกลางคลื่นที่ซัดเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เรี่ยวแรงแทบไม่มีเหลือ ผมตัดสินใจขึ้นฝั่งที่เกาะร้างอีกครั้ง โดยพลิกเรือและให้เต้ยพาย ส่วน ผม และ ปริญ ลอยคอประคองเรือไว้ เราเริ่มอิดโรยกันเต็มที่ ความบ้าระห่ำของชายหนุ่มสามคนหมดไปโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรติดตัวพวกเราเว้นเสียแต่เครื่องแต่งกายไม้พายและเรือข้างกายหนึ่งลำ…
ตอนนี้เกิดน้อยเนื้อต่ำใจเกี่ยวกับน้ำทะเล ทำไมหนอทำไมน้ำที่มากถึง 97 เปอร์เซ็นต์ของโลกถึงเป็นน้ำเค็มและเพราะเหตุใดถึงดื่มกินไม่ได้ แม้แต่จะเอาประโยชน์มาใช้สอยก็ยากที่จะเป็นไปได้เหลือเกิน จะพูดให้ถูกคงต้องบอกว่าไม่ใช่น้ำทะเลดื่มกินไม่ได้ แต่มนุษย์อย่างเราต่างหากที่ดื่มกินไม่ได้ เพราะหากตัดเรื่องความเค็มที่เราต้องฝืนกลืนลงคอไปแล้ว ร่างกายก็จะต้องขับความเค็มออกมาในรูปของปัสสาวะทำให้ร่างกายของคนเราขาดน้ำและนั่นหมายถึงอันตรายระดับชีวิต รู้แบบนี้แล้วน้ำจืดเพียงไม่กี่หยดกลายเป็นสิ่งที่สำคัญกับชีวิตมาก ไม่ว่าหนังฝรั่งที่เกี่ยวกับการติดเกาะ หรือการ์ตูนติดเกาะ เรามักจะสอนให้เห็นความสำคัญของ ‘น้ำจืด’ เป็นอันดับแรก
ผมไม่แน่ใจนักว่าเราจะคิดหาทางออกด้วยวิธีใดแต่อย่างน้อยก็มีโทรศัพท์หนึ่งเครื่อง ถ้าลองตั้งสติดีๆพบว่ามันก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรมากนัก เพราะอย่างน้อยเกาะนี้ก็ห่างจากชายหาดเพียงแค่หนึ่งกิโลเมตร ไม่ใช่เกาะร้างกลางมหาสมุทร ร้ายแรงที่สุดก็คงเป็นแค่การต้องรอเวลาอาจจะต้องนอนค้างที่เกาะนี้ในกรณีที่ไม่มีใครสามารถมารับเราได้ แต่ก็ไม่มีใครรับรองความปลอดภัยอีกเช่นกันว่าเราจะเจออะไรบนเกาะร้างแห่งนี้บ้าง และจู่ๆในความสิ้นหวังเล็กๆ กลับต้องเจอสิ่งที่ทำให้ประหลาดใจอย่างไม่น่าเชื่อ เราคงเรียกมันว่า ‘ความโชคดี’ เพราะจู่ๆก็มีรุ่นพี่ผู้ชายสองคนท่าทางแข็งขันและเป็นคนแถวนี้ ได้พายเรือมาเล่นที่เกาะ ผมเข้าไปพูดทักทายและเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง… “งั้นจะกลับพร้อมกันไหมล่ะ” แหม…ถ้าพี่ไม่ชวนผมคงต้องขอร้องแล้วล่ะครับ ตอนนี้เราโล่งใจไปได้พักใหญ่ ซึ่งต่อให้เรือจะคว่ำอีกกี่รอบก็ยังรู้สึกสบายใจ ที่อย่างน้อยก็มีคนเห็นเหตุการณ์และผมมั่นใจว่าเขาช่วยเราได้ ในช่วงที่พี่ชายทั้งสองคนเดินเล่นรอบเกาะผมได้ลองใช้โทรศัพท์ของเต้ย เพื่อติดต่อเพื่อนที่รออยู่ที่หาด เพราะเขาต้องเป็นห่วงแน่ ไม่รู้อะไรดลใจให้โทรหาบอย “มารับตูด้วยยย ตูเสร็จงานแล้วว อยากไปเกาะโว้ยยยย” …แหมไอ้ฟั๊ก ! “ยิ้มสิต้องมารับตู ตูติดเกาะโว้ยยยย” หลังจากนั้นโทรศัพท์ก็แสดงอาการให้เห็นว่าหนูไม่ไหวแล้วสำลักน้ำเค็มมาเยอะมาก ขอลาล่ะพี่ท่านนน
ช่วงขากลับเป็นอะไรที่ทุลักทุเลมาก เราประสบปัญหาเรือคว่ำและต้องขึ้นเรือใหม่ 4-5 รอบ บางครั้งต้องใช้เชือกลากเรือแต่ก็ไม่สามารถทานแรงคลื่นได้ จนเชือกขนาดน้องๆนิ้วก้อยต้องขาดสะบั้นถึงสองครั้ง สุดท้ายเราให้เจ้าเต้ยเกาะเรือตามหลังมา เพราะหากต้องปีนขึ้นเรือหมดทุกคนเกรงว่าสองทุ่มก็คงไม่ถึงฝั่ง และผืนแผ่นดินตอนนี้ไม่ใช่นุ่มราวเตียงห้าดาวแต่กลับนุ่มนิ่มระดับขนมมาร์ชเมลโล่ยี่ห้อดีเลยทีเดียว เราไหว้ขอบคุณพี่ชายทั้งสอง จากนั้นแกก็ขอบายโดยพูดขึ้นว่า “ปะเรา ซ้อมวิ่งต่อ ไอรอนแมน” ผมสะดุดตรงคำว่า ‘ไอรอนแมน’ เพราะมันหมายถึงความฝันอันสูงสุดของนักวิ่ง นักว่ายน้ำ หรือนักปั่นหลายคน นั่นก็คือ ไตรกีฬาระดับโลกนั้นเอง เพราะต้อง ว่ายน้ำ 3.8 กิโลเมตร ต่อด้วย ปั่นจักรยาน 180 กิโลเมตร และจบที่การวิ่งอีก 42 กิโลเมตร แม้จะยากเกินเอื้อม แต่อย่างน้อยความฝันเราก็เหมือนกันและเมื่อกลุ่มคนที่หลงไหลอะไรสักอย่างมาพบกันมันก็มักจะทำให้มิตรภาพเล็กๆเกิดขึ้นเสมอ ขอบคุณครับพี่…
แสงทองปรากฏกายขึ้น ณ. ทิศตะวันออกสุดขอบฟ้าไกล ทิศทางซึ่งชื่อของมันได้ทำหน้าที่ระบุตัวตนอย่างชัดเจน ในบางครั้งพระอาทิตย์กลมโตลูกนี้มีสีแดงระเรื่อคล้ายผลลูกท้อ เมื่อแสงสาดส่องทะลุก้อนเมฆที่ขาวราวปุยนุ่นนั้น มันกลับกลายเป็นเหมือนโคมไฟยี่เป็งขนาดใหญ่รูปร่างแปลกตาและหลากสีสันประดับอยู่บนท้องฟ้า ครั้นแสงเจิดจ้าไร้ก้อนเมฆบดบัง มันก็เดินทางด้วยความเร็วมาตกกระทบบนพื้นโลก บ้างกระทบกับผิวน้ำสะท้อนกลับไปราวแผ่นทองคำสีเจิดจรัสลอยไหวไปมา บ้างกระทบกับสถาปัตยกรรมอันเลื่องชื่อทำให้เกิดเป็นเงารูปร่างแปลกตา แต่สำหรับห้องหับเล็กๆที่ตัวผมกำลังเหยียดกายอย่างผ่อนคลายอยู่นั้น มันส่องทะลุม่านบางๆสีอ่อนโยน แล้วส่งคำทักทายมาที่ดวงตา ราวเด็กน้อยวัยกำลังซนที่เพิ่งตื่นและออดอ้อนเพื่อต้องการหยอกล้อกับเรา
พวกเราหลายคนเริ่มขยับกายและบิดขี้เกียจไป-มา เราถือว่านี่เป็นเช้าตรู่ แม้จะไม่มากแต่อย่างน้อยก็เช้ากว่าทุกวันเมื่อเทียบกับชีวิตในเมือง เราต้องทำเวลาขึ้นอีกเล็กน้อยเนื่องจากช่วงกลางดึกของคืนแรกเราได้แบ่งหน้าที่กันทำงานดีแล้ว บางคนยังนอนเล่นรับแอร์เย็นๆอยู่บนเตียง มีบางคนที่หายออกไปก่อนใคร ไม่ต้องสงสัย หากรู้ว่ามันชื่อ ‘อาร์ม’ ก็บอกได้เลยว่ามันไปหาข้าวกิน และถ้าหากรู้ว่ามีคนออกไปกินข้าว ก็บอกได้เต็มปากอีกนั่นแหละว่ามันชื่อ ‘อาร์ม’ …เราจัดแจงธุระส่วนตัวและธุระส่วนรวมในบางเรื่องเสร็จไปแล้ว จะว่าไปผมยังไม่มีเวลาได้ขี่รถกินลมชมวิวเมืองแหลมสิงห์แห่งนี้จริงจังเสียที ว่าแล้วก็หยิบกุญแจรถซึ่งเซเว่นยึดมาจากคุณย่าชั่วคราว หากมอเตอร์ไซค์คันนี้เป็นคนอายุของมันก็คงทำให้ผมต้องยกมือไหวและโน้มตัวก้มทุกครั้งที่เดินผ่าน “จะไปหาถ่ายรูปที่เที่ยวแถวนี้ ใครจะไปบ้าง ?” …”ตูไป” บอยเจ้าเก่าชิงตอบก่อนเพื่อนแล้วมันก็กระโดดคร่อมรถแอ๊คท่าถ่ายรูปกับผมสองสามรูปก่อนสตาร์ทเครื่องบิดควันท่วมออกจากที่พักไปซึ่งเราทั้งคู่ก็ทำตัวแสนชิคทั้งถอดเสื้อถือกล้องขี่มอเตอร์ไซค์ โดยลืมคิดไปว่า ‘นี่มันแดดประเทศไทย’
ท้องถนนและบ้านเรือนตามรายทางของที่นี่ดูเรียบง่าย มีป้ายบอกสถานที่ชัดเจน คงเพราะเป็นเมืองเก่าและมีอาคารประวัติศาสตร์ปะปนอยู่บ้าง จึงต้องมีป้ายแนะนำและบอกทางให้กับนักท่องเที่ยว แต่ก็เท่านั้น บอยมันก็ยังขับหลงอยู่ดี เราแวะดูเรือที่สะพานปลาเล็กๆซึ่งอยู่ติดกับสะพานแหลมสิงห์ ท้องฟ้าวันนี้สร้างความสดใสให้กับสายตาของเราอีกครั้ง ลมทะเลที่เดินทางมาจากอ่าวไทยเลื่อนไหลมาสัมผัสผิวหนังทำให้ร่างกายรับรู้ถึงความปลอดโปร่งโล่งสบาย สะพานแหลมสิงห์ถูกเรียกชื่อตามแหลมของภูเขาหินที่ยืนออกไปกลางทะเล ซึ่งชื่อจริงอย่างเป็นทางการคือ ‘สะพานตากสินมหาราช’ โครงสร้างสถาปัตยกรรมแห่งนี้ตั้งตระหง่านสู้แดดลมฝนและรับใช้ผู้คนย่านนี้มาอย่างยาวนาน แถมยังเป็นเจ้าตำแหน่งสะพานที่ยาวที่สุดในภาคตะวันออกอีกด้วย ถนนบนสะพานนั้นขยายเลนจอดรถเพิ่มออกไปในช่วงกลางสะพานเพื่อคอยรองรับการจอดรถริมทางของนักท่องเที่ยวเป็นเสมือนจุดแวะเล็กๆสำหรับขาจรให้ลงมาถ่ายรูป และขาประจำสำหรับการตกปลา
ท่ามกลางแดดช่วงสายของวันเราสองคนยังคงควบมอเตอร์ไซค์คันเก่าเอาผิวหนังให้แดดเลียแบบไม่รู้สึกรู้สาอะไร ที่ตีนสะพานฝั่งเขาแหลมสิงห์มีท่าเทียบเรือเล็กๆ ซึ่งมีเรือชาวประมงจอดเทียบท่าไว้หลายสิบลำ เวลานี้มันหลับไหลลอยลำแน่นิ่งอยู่บนผิวน้ำอันตื้นเขิน คงกำลังรอเวลานายของมันสั่งงาน เวลานั้นมันคงได้โลดแล่นอยู่ ณ.สุดขอบฟ้าท้าคลื่นลมอีกครั้ง หากใครมาเยี่ยมชมท่าเทียบเรือแห่งนี้ ถ้าสายตาไม่ก้มหน้ามองจอโทรศัพท์ก็คงสะดุดตากับโบสถ์แห่งหนึ่งซึงมีสีขาวสว่างเจิดจ้า โดยมีฉากหลังคือเขาแหลมสิงห์สีเขียวทึบ ช่วยให้โบสถ์แห่งนี้ดูโดดเด่นตระการตา แต่ก็ใช่ว่าจะดูสวยสดงดงามตลอดเวลาเสียทีเดียว เพราะเนื่องจากปีที่แล้ว วัดเขาแหลมสิงห์แห่งนี้ต้องประสบกับลมพายุที่พัดกระหน่ำ จนทำให้ทั้งวัดและเรือประมงของชาวบ้านเสียหายยับเยิน จึงได้มีการบูรณะขึ้นมาใหม่และใช้สีขาวฉาบทาโบสถ์แทนสีเดิมซึ่งเสื่อมโทรมเต็มทีให้กลับมาดูสวยงามและสวยกว่าเก่าด้วยซ้ำ
เดิมทีผมอยากจะเข้าไปนั่งเล่นในวัดแห่งนี้เสียหน่อย แต่เมื่อมองดูตัวเองแล้วพบว่าอยาดีกว่า เสื้อไม่ใส่ กางเกงบ๊อกเซอร์สั้นกุด ผมเผ้าแสนรุงรัง เกรงว่าญาติโยมที่เขามาทำบุญจะต้องแตกตื่นทำลายความเงียบสงบของวัด เราจึงเบนหัวไปทางขวาตามตามทางหลวงชนบทหมายเลข 6001 เส้นทางสองเลนเล็กๆแห่งนี้พาเราพบกับวีถีชีวิตของคนท้องถิ่นที่นี่ ซึ่งหากจะให้นึกถึงอาชีพของคนที่ใช้ชีวิตเป็นลูกน้ำเค็มก็คงเป็นอาชีพการทำประมงอย่างการออกเรือ หาทั้งปลา ทั้งหมึก ส่วนปูนั้นจะต้องทำการเลี้ยงในกระชังซึ่งเท่าที่เห็นจะอยู่แถบปากแม่น้ำที่ติดกับทะเลเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่ทำรายได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว เพราะปูดำที่เรากินตามร้านอาหารหรูๆนั้นมีราคาขายไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 300 บาท และอาจสูงถึง 600 บาท โดยวิธีการนั้นเกษตรกรที่เลี้ยงปูจะต้องหาซื้อลูกปูที่จับได้ตามธรรมชาติจากนั้นก็นำมาเลี้ยงไว้ในบ่อ เมื่อครบกำหนดเวลาประมาณ 2-3 เดือน เกษตรกรก็จะใช้ ‘หับ’ ในการดักปูเพื่อเอาขึ้นมาจำหน่ายเป็นอาหารทะเลอันโอชะให้พวกเราได้ลิ้มลองกันจนติดใจ
เรายังคงวนเวียนอยู่บนถนนแห่งนี้ เพราะกำลังหาทางเข้าไปยังปากแม่น้ำ แม้ไม่ใช่การมาเพื่อทัศนะศึกษาแบบเด็กนักเรียนมัธยมแต่ก็อยากเข้าไปเพื่อเรียนรู้การทำอาชีพของคนท้องถิ่นที่นี่ อย่างน้อยเราอาจซื้ออาหารทะเลในราคาถูกกว่าที่อื่น “เห้ยๆ เจอทางเข้าไปแล้ว” ผมตบไหล่บอยนักบิด พร้อมชี้ให้ดูทางดินขรุขระที่ตัดผ่านข้างโรงเรียนบ้านแหลมสิงห์ เราเลี้ยวหัวรถกลับแล้วพุ่งตรงเข้าไปยังทางดินที่หญ้าขึ้นเต็มสองข้าง เสียงแถ๊ดๆของมอเตอร์ไซค์หยุดลงที่ฟาร์มแห่งหนึ่ง คนงานกำลังสูบน้ำออกด้วยเครื่องสูบขนาดใหญ่ที่ดูแล้วก็พอฟัดพอเหวี่ยงกับบ่อสีดำมหึมา มีคนงานจำนวนหนึ่งกำลังก้มเก็บอะไรบางอย่างที่ก้นบ่อในพื้นที่น้ำแห้งแล้ว เราขออนุญาติลงไปเดินเล่นและอยากเห็นแบบใกล้ชิด มีบางอย่างขนาดประมาณนิ้วชี้สีขาวนอนแน่นิ่งอยู่ตามพื้นดินของก้นบ่อจำนวนมาก นั่นคือ ‘กุ้ง’ ซึ่งเป็นกุ้งที่ตายแล้ว เราได้มีโอกาสพูดคุยกับเจ้าของบ่อกุ้งแห่งนี้ พี่แกบอกกับเราว่าเวลาจะขายกุ้งจะต้องสูบน้ำออกแล้วใช้อวนลากเพื่อจับ โดยปกติถ้ากุ้งโตเต็มที่จะขายได้ถึงกิโลกรัมละ 170 บาท แต่ที่เราเห็นกุ้งตัวเล็กแบบนี้เพราะเป็นโรคซึ่งเป็นสิ่งที่ร้ายแรงมากสำหรับคนทำบ่อกุ้ง เพราะจะทำให้กุ้งตายและไม่ได้ขนาดซึ่งจะขายได้ราวกิโลกรัมละ 55 บาทเท่านั้น จะเห็นได้ว่ายิ่งจำนวนตัวกุ้งต่อกิโลกรัมน้อยเท่าไหร่ ราคาจะยิ่งสูงขึ้น นั่นเพราะหมายถึงขนาดของตัวกุ้งที่ใหญ่ขึ้น การจับกุ้งครั้งนึงจึงดูเป็นเรื่องใหญ่ เพราะต้องล้างบ่อใหม่ซึ่งก้นบ่อเต็มไปด้วยซากหอยที่เป็นอาหารหารกุ้ง เห็นแบบนี้แล้วก็เป็นอาชีพที่มีความเสี่ยงสูงและต้องลงแรงกับมันมากทีเดียว บอยสอบถามพี่เจ้าของบ่อกุ้งว่า “อย่างบ่อนี้ ถ้าไม่มีโรคแล้วขายกุ้งได้ทั้งบ่อจะทำเงินตกราวๆกี่บาท” สายตาพี่เขามองคนงานที่กำลังเก็บกุ้งแล้วตอบกับเราแบบไม่ได้คิดอะไรว่า “ก็ประมาณล้านนึงอะน้อง”…
เราย้อนกลับทางเดิมและนำรถดิ่งตรงไปยังถนนเลียบวัดเขาแหลมสิงห์ ซึ่งเป็นทางที่ขึ้นไปยังเขาแหลมสิงห์เลาะลัดไปตามถนนหินปานมอเตอร์ครอสไต่เขา และผมก็คาดไม่มีผิด ว่าเขาทุกลูกที่มีถนนตัดผ่านและอยู่ใกล้กับทะเลมักจะมี ‘ลิง’ อาศัยอยู่ แม้ลิงแสมจะไม่ดุร้ายเหมือนลิงกังแต่ในเรื่องความซนและขี้สงสัยนั้นผมไม่แน่ใจนัก กลัวมันจะไล่ตามแล้วคว้ากล้องวิ่งหนีไปเหลือเกิน
บนเขาหินแห่งนี้มีพระตำหนักกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ตั้งอยู่และดูเหมือนจะเป็นทุกที่ที่เป็นปากน้ำของจังหวัดต่างๆ คนทั่วไปที่ต้องฝากชีวิตไว้กับทะเลหรือทหารเรือเองก็จะเคารพบูชาเสด็จเตี่ยเป็นอย่างมาก เราเห็นนักท่องเที่ยวขับรถไต่เขาขึ้นมาเที่ยวชมพอประปราย อาจด้วยความชันและหินที่แหลมคมทำให้โชเฟอร์รถเก๋งบางท่านไม่มั่นใจในเส้นทางต้องถอยกลับ
สิงห์นักบิดยังคงกำมือบิดเร่งเครื่องขึ้นเขาแบบควันท่วม เราขี่รถมาเรื่อยๆอย่างไม่ได้ศึกษาเส้นทางมาก่อน ทำให้พบกับ ‘ป้อมไพรีพินาศ’ โดยบังเอิญ บอยดับเครื่องจอดรถไว้ที่ปากทางเข้าซึ่งเต็มไม้ด้วยไม้ใหญ่ที่ให้ความร่มรื่นเป็นอย่างมาก ต้นไม้ที่มีขนาดคนโอบขึ้นไปแทบทุกต้นจะมีผ้าสีเหลืองเหมือนจีวรพระผูกคาดไว้ซึ่งเราเรียกว่า ‘การบวชต้นไม้’
การที่มีจีวรสีเหลืองผูกคาดไว้ย่อมสร้างความยำเกรงให้กับผู้ที่คิดลักลอบตัดไม้ไปได้เปราะใหญ่ การบวชต้นไม้แบบนี้แพร่หลายมากในถิ่นล้านนา บ้างเรียกว่า ‘บวชป่า’ ซึ่งมีแนวคิดคล้ายคลึงกับ ‘พิธีสืบชะตาแม่น้ำ’ หรือ ‘คน’ ส่งผลให้สถานภาพของต้นไม้เปลี่ยนไป นับเป็นการนำความเชื่อทางศาสนามาประยุกต์ใช้ในการดูแลรักษาป่า ถือว่าเป็นกุศโลบายที่ห้ามมิให้คนตัดไม้ทำลายป่า เพราะอย่างน้อยคนไทยก็ยังมีความเชื่อทั้งในเรื่องของศาสนาและสิ่งลี้ลับต่างๆ จึงทำให้ป่าหลายแห่งฟื้นคืนสภาพอย่างรวดเร็ว
เราวิ่งตามทางไต่เขาชันขึ้นมาเรื่อยๆ โดยถือซะว่านี่เป็นการซ้อมวิ่งเทรลย่อยๆ แม้โลกข้างนอกจะร้อนระอุเพียงใดแต่เมื่อเมื่ออยู่ใต้ร่มเงาไม้แล้วก็กลายเป็นดั่งคนละสถานที่กันเลย ความร้อนแสนสาหัสกับความเย็นแสนสบายห่างกันเพียงใบไม้กั้นเท่านั้นเอง…
ป้อมไพรีพินาศแห่งนี้ สร้างขึ้นตามพระราชดำริของ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยพระยาอภัยพิพิธเจ้าเมืองจันทบุรีในขณะนั้น ก่อสร้างขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ. 2377 จุดประสงค์เพื่อตั้งรับข้าศึกอย่างญวนที่มาทางทะเล ป้อมปืนใหญ่แห่งนี้นับว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญมาก เนื่องจากอยู่บนภูเขาหินสูงชันและมองเห็นได้รอบทิศ ดั่งยามรักษาประตูทางทะเลชายฝั่งชั้นดี และ ‘ป้อมไพรีพินาศ’ ยังมีฝาแฝดอีกด้วยนั่นคือ ‘ป้อมพิฆาฏฆ่าศึก’ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณตึกแดงนั่นเอง บริเวณจุดที่ตั้งปืนใหญ่แห่งนี้เป็นลานดินกว้าง มีโต๊ะหินอ่อนราวโต๊ะกินข้าวของครอบครัวขนาดใหญ่ และก้อนหินอ่อนแบบตัดเป็นทรงสี่เหลี่ยมคล้ายเก้าอี้ตั้งเรียงแถวให้นักท่องเที่ยวได้นั่งพักผ่อนเล่น ปืนใหญ่สองกระบอกยังคงหันหน้าออกไปทางทะเล ดั่งผู้สูงวัยที่เคยมีเรี่ยวแรงแข็งขันที่ไม่ยอมละทิ้งจากการเฝ้ามองดูแลลูกหลานไม่ให้ห่างสายตา ไฮไลท์คือจุดบนยอดเขาสูงสุดซึ่งมีพระเจดีย์สีขาวโพลนตั้งอยู่ โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯให้พระยาศรีสหเทพ จัดงานฉลองเมืองจันทบุรีหลังฝรั่งเศสคืนดินแดน ในปี พ.ศ.2447 เพื่อเป็นที่ระลึกถึงของการถอนกำลังกองทหารฝรั่งเศสที่แหลมสิงห์ โดยมีชื่อว่า ‘เจดีย์อิสรภาพ’
วันที่สองของทริปเราใช้เวลาไปค่อนข้างคุ้มค่า เพราะตอนนี้ค่อนข้างเหนื่อยจนอยากนอนกลิ้งอยู่ในห้องที่มีแอร์คอนดิชั่นเย็นๆ แต่นี่เพิ่งเที่ยงวันเท่านั้น สมาชิกคนอื่นก็เร่ร่อนไปตามใจที่ตนเองชอบ ส่วนใหญ่มักไปนั่งเล่นที่ร้านกาแฟของคุณแม่เซเว่น โดยเฉพาะ ‘อาร์ม’ ซึ่งเพื่อนผมคนนี้มันชอบกาแฟในระดับที่เรียกว่าติด ไม่รู้มันกินเพราะอะไร ขนาดกาแฟไม่ทันหมดแก้วมันยังหลับได้เลย (แถมกรนอีกต่างหาก) อีกคนที่มีนิสัยคล้ายผมคือ ‘พัท’ หรือ ‘ไอ้ตี๋’ นิสัยที่ว่าคือชอบใช้เวลาว่างอ่านหนังสือ แต่เวลาไม่ว่างเราก็อ่านกัน โดยเฉพาะคาบเรียนบางคาบ เราฆ่าเวลาด้วยท่องไปตามตัวอักษรอย่างเพลิดเพลิน รู้ตัวอีกทีก็สอบแล้ว (ฟั๊ก!)
ช่วงบ่ายของวัน ไม่ว่าจะสถานที่ใด อาการของทุกคนคือ ‘ง่วง’ ซึ่งโดยปกติแล้วเราต้อง ‘ง่วน’ อยู่กับการเตรียมของไปค้างที่เกาะจุฬา แต่เนื่องจากเรือที่เรานัดหมายไว้ไม่สามารถไปส่งที่เกาะได้เพราะคลื่นลมแรงซึ่งอันตรายมาก แม้แผนพวกเราจะเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังเท้า แต่ถือซะว่าเพื่อความปลอดภัยและคนที่อยู่ข้างหลังจะได้ไม่ต้องคอยเป็นกังวัลอีกด้วย ฉะนั้นของทุกอย่างที่ตระเตรียมการจะยกพลขึ้นเกาะจึงเปลี่ยนเป็นการปิกนิกข้างห้องแบบน่ารัก คิคุ เราจึงหมดห่วงในเรื่องการเตรียมของ เพราะอยู่ใกล้ร้านสะดวกซื้อ เพราะถ้าเป็นการติดเกาะแล้วเบียร์หมดคงไม่มีใครกล้าพายเรือขึ้นฝั่งเพื่อเดินไปซื้อแน่ๆ
“เอางี้แล้วกัน ในเมื่อแผนเปลี่ยน ตูเสนอแผนใหม่ เย็นนี้เราไปเล่นน้ำเอาเรือไปพายเล่นใกล้ๆ จากนั้นกลับมานั่งกินนั่งเล่นที่รีสอร์ท แล้วพรุ่งนี้ไปน้ำตกพลิ้ว” ‘อาร์ม’ ผู้สันทัดในการจัดการเรื่องเงินเสนอแผนใหม่ หลังจากที่ ‘เซเว่น’ นำข่าวมาบอกว่าเรือไม่สามารถพาเราไปเกาะร้างได้ และโยนคำถามมาให้ช่วยกันแก้ ว่าพวกเราจะเอายังไงกันต่อ แม้ผิดหวังเล็กน้อยแต่มันคงต้องเป็นไปตามนั้น เพราะเพื่อนสมาชิกบางคนก็ยังไม่ได้สัมผัสน้ำเค็มที่หาดแหลมสิงห์เลยด้วยซ้ำ ความง่วงที่สะสมในช่วงบ่ายถูกสลัดให้หายไป พวกเราดูกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที ชายหาดที่อยู่ใกล้เพียงไม่กี่ก้าวทำให้หูจับเสียงของคลื่นที่ซัดเข้าหาดได้อย่างชัดเจน จริงอย่างเขาว่าวันนี้คลื่นค่อนข้างแรงทำให้น้ำทะเลขุ่นเป็นสีชา ตามริมหาดมีร้านอาหารและที่พักเรียงรายมากมายตลอดจนสุดโค้งอ่าว มีนักท่องเที่ยวไม่มากเหมือนหาดขึ้นชื่อตามจังหวัดชลบุรี อย่าง ‘บางแสน’ หรือ ‘พัทยา’ แต่มันก็ไม่น้อยเกินไปให้เรารู้สึกเหงา แปลกใจเหมือนกันที่ผมกลับชอบให้ทะเลที่เรากำลังลงเล่นน้ำนั้นมีนักท่องเที่ยวรายอื่นปะปนอยู่ด้วย คงเป็นเพราะความกว้างใหญ่ของบ่อน้ำเค็มที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ที่หากเรายืนอยู่เพียงลำพังคงรู้สึกเหงาว้าเหว่น่าดู
ผมไม่ค่อยเข้าใจหรืออาจเข้าไม่ถึงกับคำว่า “ร่างกายต้องการทะเล” ของเพื่อนสาวหลายคนในโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คเท่าไหร่นัก เพราะเห็นรูปไม่ว่ากี่ครั้งหรือกี่คน ก็จะคลับคล้ายคลับคลากัน คือจะอยู่ในอิริยาบถที่กำลังกดอะไรสักอย่างบนหน้าจอสี่เหลี่ยมแบบอาการเผลอๆ โดยมีแบ็คกราวน์เป็นทะเลสีสวย ตัวแบบก็จะใส่เสื้อผ้าชิคๆ อาจมีแว่นตาหรือหมวกประกอบ สีสันภาพก็จะจางๆมัวๆ มีแสงพระอาทิตย์ ณ. มุมใดมุมหนึ่งของภาพ โดยแท้จริงแล้วเจ้าตัวนั้นก็ไม่ได้ลงสัมผัสน้ำทะเลแม้แต่หยดเดียวเลย มันช่างขัดกับคำว่า “ร่างกายต้องการทะเล” เหลือเกิน… ผมนั่งนึกนิยามคำนี้แบบประชดเล่นๆระหว่างนั่งดูเพื่อนๆเล่นน้ำก็เพียงเท่านั้น และนึกย้อนกลับไปในช่วงที่เรือคว่ำแปดตลบอยู่กลางทะเลเมื่อวันก่อนทำให้อยากได้ แคปชั่นคำว่า “ร่างกายต้องการแผ่นดิน” กับเขาบ้าง
หาดของทะเลแหลมสิงห์ค่อนข้างมีพื้นที่ให้วิ่งเล่นเยอะ ผม เต้ย และ บอย เราสามคนที่ชื่นชอบการวิ่งอยู่แล้ว จึงได้มีโอกาสทดสอบวิ่งเลียบชายหาดแบบฝ่าเท้าสัมผัสน้ำ เพราะจ้วงเกียร์หมาแบบเท้าเปล่า ซึ่งก็ใช่ว่ามีแต่พวกเรา กลับเจอทั้งคนไทยและชาวต่างชาติซ้อมวิ่งบริเวณชายหาด เพราะรายการวิ่งบางรายการก็มีการวิ่งลงชายหาดแบบนี้จริงๆ หาดทรายที่นุ่มนิ่มเท้าผสมกับน้ำทะเลนั้นดูดแรงพวกเราได้มหาศาลเลยทีเดียว วิ่งเพียงแค่ 3-4 กิโลเมตรก็กลายเป็นหมาหอบแดดเสียแล้ว
ในเวลาที่พระอาทิตย์กำลังจมหาย มันสาดแสงสุดท้ายที่ปลายฟ้าดั่งจะสะกดให้มนุษย์ผู้มีฐานะอันต่ำต้อยได้หลงไหลในความงดงามของมัน ทั้งๆที่ช่วงกลางวันที่ผ่านมาเราต่างก่นด่าสาปแช่งแสงแดดที่แผดเผาผิวหน้าผิวหนังจนไม่อยากจะทำอะไร น้ำทะเลบัดนี้เปลี่ยนเป็นสีทองอร่ามตัดกับสีดำขลับของเงาขุนเขาที่บดบังแสงทองนี้ไว้ มีเพียงร่ายกายเล็กๆของเราที่เคลื่อนไหวสู้กับผืนน้ำที่ยิ่งใหญ่ เสียงตะโกนหยอกล้อยังคงแว่วมาตามสายลม หากเราหันหลังให้กับชายหาดอันมีชื่อว่าแหลมสิงห์ สิ่งที่ประจันหน้าอยู่คือคลื่นทะเลนับร้อยและที่ซึ่งสุดขอบคลื่นนั้นเป็นแนวเส้นตรงดิ่งขนานกับผืนน้ำราวไม้บรรทัดวัดความยาวโลก
เวลาสุดท้ายของแสงที่เพิ่งจมหายลงไปเมื่อครู่กระซิบบอกเราให้ต้องละทิ้งกิจกรรมที่เหนื่อยมาตลอดวันเสียที ขอบฟ้าเมื่อยามเช้าอาจเป็นสีแดงระเรื่อ ท้องฟ้ายามสายอาจมีก้อนเมฆน้อยลอยอ้อยอิ่งอยู่ทั่วฉากหลังสีฟ้า หลังแนวเขามหึมาในยามเย็นอาจเป็นแสงสีทองสุดท้ายที่ดูริบหรี่แต่มีมนต์ขลัง หลังจากเวลาเหล่านั้นโลกทั้งใบก็เหมือนฉากผ้าของศิลปินที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีดำทะมึน มันค่อยๆเข้มขึ้นราวกับถูกเน้นด้วยพู่กันใหญ่ยักษ์จากธรรมชาติ มนุษย์ตัวเล็กจ้อยอย่างเราผลิตแสงไฟที่ให้แสงสว่างเพื่อต่อสู้กับความมืด หากแปลงกายเป็นวิหคลอยเหินอยู่เบื้องบน ยามใดที่ได้มองลงมาเห็นแสงไฟก็คงไม่ต่างจากตัวเราที่มองดูหิ่งห้อยน้อยบินลอยฉวัดเฉวียนปล่อยแสงไฟดวงเล็กวูบวาบไปมา
พัท กับ บอย สองคนนี้มันเป็นคนจัดการเรื่องอาหารมื้อใหญ่ของทริป ซึ่งที่จริงแล้วที่รีสอร์ทไม่มีบริการในส่วนของการปิ้งย่าง แต่เราอาศัยความดื้อและเส้นสายของเซเว่น เพื่อขอใช้ไฟปิ้งย่างเล็กน้อย สนามหญ้าเล็กๆข้างห้องพักของเราถูกแปรสภาพเป็นโต๊ะอาหารชั้นเลิศ บางคนทยอยกันอาบน้ำ บางคนทนไม่ไหวมันก็เปิดประตูเข้ามาอาบกับเราซะอย่างนั้น ความเหนื่อยจากการเล่นที่สะสมมาทั้งวันทำให้การนั่งนิ่งๆ ปิ้งหมูปิ้งไก่ดูจะมีความสุขมาก ‘เชฟพัท’ เพื่อนผู้ใจดีคอยเป็นธุระให้ในเรื่องอาหาร มันนั่งเฝ้าตะแกรงย่างคอยหยิบนู่นพลิกนี่ให้พวกผมอยู่เรื่อยๆ ณ.เวลานี้ ไม่มีแสงสีหรือความบันเทิงใดๆ มีแต่เสียงคุยโอ้อวดและการด่าทอที่ทับถมกันไปมา ซึ่งมันกลายเป็นปรกตินิสัยของพวกเราไปเสียแล้ว เพราะ ณ.เวลานี้มีแต่พวกเรา
“สักหน่อยไหมครับ”
ในช่วงกลางวันเมืองท่าเล็กๆแห่งนี้ก็ดูสงบเรียบร้อยมากพออยู่แล้ว ครั้นตกเย็นหรือดึกสงัดก็ยิ่งสงบลงอีก แต่ใช่ว่าความเงียบนั้นคือการร้างวังเวงหรือไร้ผู้คนสัญจร หากแต่หมายถึงการใช้ชีวิตอย่างเนิบช้าต่างหากที่ดูแล้วไม่วุ่นวาย ความรู้สึกของผมบอกแบบนี้เพราะหลังจากที่กินอิ่มได้สักพัก ก็อยากออกไปยิดเส้นยืดสาย ผมชวน เต้ย เพื่อนเรือล่มเมื่อวานออกไปแวนท่องราตรีในคืนนี้ “เดี๋ยวมาเว้ย รอก่อน” ผมบอกสมาชิกที่เหลือที่ยังคงนั่งกินนั่งเล่นกันอยู่ที่เก่า มอเตอร์ไซต์เพื่อนใหม่คันนี้ตะบึงออกไปในความมืดสลัว ทิ้งวงกับข้าวและเพื่อนร่วมทริปไว้เบื้องหลัง
ความจริงแล้วถนนสายนี้ผมก็เพิ่งตระเวนทัวร์ผ่านไป-มา เมื่อช่วงกลางวันนี้เอง แต่นึกสนุกอยากเห็นบรรยากาศช่วงกลางดึกดูบ้างว่าจะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะสถานที่ประวัติศาสตร์เล็กๆอีกแห่งหนึ่งของที่นี่ ‘คุกขี้ไก่’ ซึ่งเมื่อช่วงกลางวันได้เห็นผ่านตามาบ้างแล้ว แปลกเพียงว่าไม่เคยเห็น แต่ยามวิเวกดึกสงัดเช่นนี้ คุกร้างเก่าแก่หลายชั่วอายุคนคงจะขังและบีบคั้นหัวใจเราให้ครั่นคร้ามยำเกรงได้ไม่น้อย คุกทรงสี่เหลี่ยม ขนาดกว้าง 4 เมตร สูง 10 เมตร แห่งนี้ เป็นคุกโบราณที่ถูกสร้างมาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2436 ในช่วงที่ฝรั่งเศสได้เข้ามายึดครองจังหวัดจันทบุรี และทำการสร้างคุกขี้ไก่ขึ้นเพื่อกักขังนักโทษชาวไทยที่ได้ต่อต้านกับชาวฝรั่งเศส (ในช่วงเวลาเดียวกับที่สร้างตึกแดง) ลักษณะของโครงสร้างอันน่ากลัวแห่งนี้เป็นทรงสูง ซึ่งชั้นบนจะเป็นที่เลี้ยงไก่ไว้สำหรับถ่ายมูลใส่หัวนักโทษที่อยู่ด้านล่าง
ที่มาของการถูกฝรั่งเศสยึดครองในช่วงนั้นเกิดจากเหตุการณ์ที่เราเรียกว่า ‘วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112’ ในช่วงที่การล่าอาณานิคมเริ่มขยายวงกว้างมาถึงแถบเอเชีย ประเทศมหาอำนาจจากชาติตะวันตกเริ่มเสาะแสวงหาแผ่นดินและผลประโยชน์ใหม่ ‘สยาม’ รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้านของเราอีกมากมายถูกมองว่าป่าเถื่อนไม่มีความเจริญ ซึ่งช่วงนั้น ‘ฝรั่งเศส’ ในฐานะเจ้าอาณานิคม เรียกว่าดินแดนแถบนี้ว่า ‘อินโดจีน’ (Indochine) หรือ ‘อินโดจีนฝรั่งเศส’ (กัมพูชา,ลาว,เวียดนาม,คาบสมุทรมลายู,ไทย,พม่า,สิงคโปร์) ซึ่ง ‘ฝรั่งเศส’ พยายามที่จะยึดครองดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงนั่นคือประเทศลาว (อดีตคืออาณาจักรล้านช้าง) โดยลาวในขณะนั้นเป็นดินแดนของไทย (สยาม) และด้วยเล่ห์เหลี่ยมของประเทศมหาอำนาจ ‘สยาม’ ก็ได้เสียเมืองหน้าด่านแห่งนี้ ในปี พ.ศ 2436 หลังจากนั้น ‘ฝรั่งเศส’ บังคับให้ ‘สยาม’ ชดใช้ค่าเสียหายต่างๆที่เกิดขึ้น โดยเราไม่ยอมชดใช้ให้ จึงถูกประเทศมหาอำนาจแห่งนี้นำเรือรบมาปิดปากแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณอ่าวไทย ‘สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว’ จึงส่งเรือรบเข้าต่อสู้ที่บริเวณ ‘ป้อมพระจุลจอมเกล้า’ (สมุทรปราการ) แต่พ่ายแพ้ ทำให้ ‘ฝรั่งเศส’ นำเรือรบเข้าสู่กรุงเทพมหานครและหันปืนใหญ่ทุกกระบอกไปยัง ‘พระบรมมหาราชวัง’ เพื่อบีบบังคับให้ ‘สยาม’ ต้องทำตามข้อตกลงต่างๆรวมทั้งการสละดินแดนบางส่วน (ซึ่งเสียมาเรื่อยๆตั้งแต่รัชกาลที่ 1 จนถึงรัชกาลที่ 9)
‘นานมาแล้ว ที่แนวรบด้านนี้ มีกลุ่มคนต่างสี ต่างทะยานเข้ามา
หวังดินแดนหวังแบ่งเอาแคว้นเขต หวังกินประเทศ หวังดินหวังฟ้า
ฝรั่งเศสไปแล้ว อเมริกันเข้ามา รัสเซียเข้าคว้าจีนถลาเข้าดึง
จึงอินโด จีนโกลาหล ปลอกกระสุนปืนกล เกลื่อนเขาพงไพร’
รู้สึกอย่างไรบ้างกับความยากลำบากของปู่ย่าในการรักษาดินแดนซึ่งยากยิ่งที่จะปกป้องไว้ให้ลูกหลาน
.
.
ผ่าง !!!
หลังจากตกลงปลงใจกันแล้ว สมาชิกส่วนใหญ่แยกทางออกไป ด้วยว่ามันจะลองลัดเลาะตามธารน้ำเพื่อเสาะแสวงหาจุดเล่นน้ำที่คนเล่นไม่เยอะมากนัก อีกส่วนหนึ่งรวมทั้งตัวผมเลือกที่จะเดินเล่นบนเส้นทางศึกษาธรรมชาติ เหตุผลที่ชื่นชอบก็เพราะป่าน้ำตกพลิ้วแห่งนี้มีความชุ่มชื้นมาก ทั้งฝนที่โปรปรายค่อนข้างต่อเนื่องและน้ำตกที่ไหลรินไม่ขาดสายตลอดทั้งปี ทำให้ช่วงเวลาที่ร่างกายอยู่ท่ามกลางความเขียวขจีมันรู้สึกโล่งจมูกและสูดหายใจได้เต็มปอดทุกครั้ง
ด้วยทรงเป็นที่โปรดปรานสนิทเสน่หายิ่งกว่าพระอัครมเหสีองค์อื่นๆ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตามเสด็จและรับใช้ใกล้ชิดอยู่เสมอ ด้วยการตามเสด็จนี้เองที่ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมไม่คาดฝันขึ้น… เมื่อวันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2423 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐาน จากบางกอกไปยังพระราชวังบางปะอินโดยขบวนเรือพระที่นั่ง ซึ่งระหว่างทางนั้น (บริเวณวัดเกาะพญาเจ่ง ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด) ขบวนเรือพระที่นั่งของพระองค์เจ้าสุนันทาฯ ถูกขบวนเรือพระที่นั่งอีกลำที่ตีคู่ขนานกันมาเบี่ยงซ้ายมาชน ทำให้หัวเรือพระที่นั่งของพระองค์เจ้าสุนันทาฯถูกกดและจมลงไป ลำพังพระองค์เองสามารถเอาตัวรอดได้เนื่องจากว่ายน้ำแข็ง แต่ทรงเป็นห่วงพระราชธิดาซึ่งจมหายลงไปพร้อมกับพระพี่เลี้ยง ทำให้สุดท้ายถูกเรือพระที่นั่งกดจมหายลงไปใต้ท้องเรือและสิ้นพระชนม์พร้อมกับพระราชธิดาและพระพี่เลี้ยง แต่ยิ่งไปกว่านั้นสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ทรงพระครรภ์ได้ 5 เดือน จึงนับเป็น 4 ชีวิตที่สูญเสียไป ทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าทรงเสียพระทัยเป็นอย่างมาก
เรื่องของความเศร้าสลดและความน่าเห็นใจยังไม่หมดแค่นั้น เพราะก่อนหน้าจะเสด็จพระราชดำเนิน พระองค์เจ้าสุนันทาฯ ทรงเล่าความฝันให้ผู้ใกล้ชิดฟังว่า พระองค์พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ ทรงพลัดตกน้ำลงไปด้วยกันทั้ง 2 พระองค์ ความฝันนี้สร้างความหวั่นพระทัยอย่างมาก แต่ก็มิได้ทรงกราบบังคมทูลให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าทรงทราบ และได้ตามเสด็จฯไปด้วยในคราวนั้น จนเกิดโศกนาฏกรรมร้ายขึ้น
‘ถ้าเรือประเทียบล่มก็ดี ประเทียบตกน้ำก็ดี แลว่ายน้ำอยู่บันดาลตาย ให้ภูดาษแลชาวเรือยื่นเสร้าแลซัดหมากพร้าวให้เกาะตามแต่จะเกาะได้ ถ้ามิได้อย่ายึด ถ้ายึดขึ้นให้รอดโทษถึงตาย ถ้าซัดหมากพร้าวให้รอดรางวันสิบตำลึงขันทองหนึ่ง ถ้าเรือประเทียบล่มมีผู้อื่นเห็น แลซัดหมากพร้าวเอาขึ้นให้รอดโทษทวีคูนตายทั้งโคตร อนึ่งเรือประเทียบล่มแลหมากพร้าวเข้าไปริมฝั่ง โทษฟันคอริบเรือน’
แม้จะมีชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ก็ไม่มีความกล้าพอที่จะช่วยเหลือพระองค์ได้เลย อีกทั้งยังมีพระยามหามนตรีศรีองครักษ์สมุหที่คอยยืนกวัดแกว่งดาบมิให้ผู้ใดช่วยเหลือพระอัครมเหสีพระองค์นี้ ด้วยว่ายึดตามกฎมณเฑียรบาล ซึ่งสืบทอดมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ด้วยกษัตริย์ได้ทรงกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ ไว้เป็นอันมากเพื่อป้องกันความปลอดภัยและรักษาพระราชอำนาจไว้ให้ยาวนานที่สุด เพราะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการเสด็จออกภายนอกพระราชฐาน เพราะหากเกิดอุปัทวเหตุ (อุบัติเหตุ) ก็เพื่อป้องกันผู้ร้ายอาศัยจังหวะลอบปลงพระชนม์ ซึ่งจะทำได้แนบเนียน ทำให้มีการตรากฎมณเฑียรบาลไว้ป้องกัน และให้ช่วยเหลือได้เท่าที่กฏนี้กล่าวมา…
พระองค์เจ้าสุนันทาฯทรงเกิดอุปัทวเหตุที่ ต.บางพูด จ.นนทบุรี แต่ก็มีความเกี่ยวข้องกันอย่างลึกซึ้งกับน้ำตกพลิ้ว ที่ จ.จันทบุรี เพราะทั้งสองพระองค์ ทั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระองค์เจ้าสุนันทาฯ ทรงโปรดปรานที่นี่และให้สร้างพระเจดีย์ทำด้วยศิลาแลงขึ้นที่บริเวณหน้าผาด้านหน้าน้ำตกพลิ้ว เพื่อเป็นที่ระลึกในการเสด็จประพาสน้ำตกพลิ้วด้วยกัน และพระราชทานนามว่า ‘อลงกรณ์เจดีย์’ โดยเฉพาะพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงโปรดน้ำตกพลิ้วเป็นอย่างมาก ถึงกับมีพระราชดำรัสว่า “เราได้เห็นน้ำตกอย่างนี้มาสองสามแห่ง คือที่ปีนัง เกาะช้าง และสีพยา เห็นไม่มีที่ไหนจะงามกว่าที่นี่เลย ถ้าจะให้เรานั่งดูอยู่ยังค่ำก็แทบจะได้ด้วยเย็นสบายจริง”
ส่วนสถูปรูปทรงพีระมิดนั้นถูกสร้างขึ้นภายหลังด้วยรำลึกถึงพระองค์เจ้าสุนันทาฯ ภายในสภูปบรรจุพระอังคารของพระนางเจ้าฯ เอาไว้ เพราะพระองค์ก็เป็นอีกคนที่ทรงโสมนัส ชื่นชม หลงไหลในความงามของน้ำตกพลิ้ว และการที่โปรดให้สร้างอนุเสาวรีย์รูปทรงพีรามิด ก็ด้วยทรงพระราชดำริว่า “ทำเป็นรูปอื่นอาจไม่คงทนถาวร เพราะตั้งอยู่กลางป่าเขาลำเนาไพร อันไม่มีผู้ดูแล ฉะนั้น เมื่อปิรามิดของอียิปต์ยืนยงคงทนได้ฉันใด ปิรามิดน้อยนี้ก็คงจะยืนยงคงทนอยู่เช่นกัน ณ ท่ามกลางป่าและเสียงไหลรินของธารพลิ้ว” พร้อมพระราชทานนามว่า ‘สุนันทานุสาวรีย์’ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ ‘พีระมิดพระนางเรือล่ม’
นอกจากอิทธิพลของวันหยุดที่ทำให้นักท่องเที่ยวล้นหลามขนาดนี้แล้ว ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะอิทธิพลของวันที่ 31 พฤษภาคม วันคล้ายวันทิวงคตของ ‘สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี’ ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับวันนี้ วันที่เรามาเยือนน้ำตกพลิ้วนั่นเอง…