เข้าเดือนธันวาคมแล้ว! เชื่อว่าหลายๆ คน กำลังวางแพลนท่องเที่ยวรับลมหนาวกันแล้ว เที่ยวชมเขา อิน ฟิน ธรรมชาติ สัมผัสลมหนาวปลุกความสดชื่นในร่างกายกัน แอดมาชวนเที่ยวเขาขึ้น “ภูทับเบิก” และไปทำตัวชิลล์ต่อที่ “เขาค้อ” จะมีอะไรเที่ยวบ้าง มาเที่ยวไปพร้อมกันเลย
มาเริ่มกันเลยดีกว่า! เก็บกระเป๋าเสื้อผ้าแล้วไปขึ้นเขาทิ้งโค้งกันที่ “ภูทับเบิก” จังหวัดเพชรบูรณ์ การเดินทางจากกรุงเทพ ถึง ภูทับเบิก ด้วยระยะทาง 388 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาน 5 ชั่วโมง นิดๆ ครับ
ถึงแล้วคร๊าบบบ “ภูทับเบิก” ถ่ายรูปเช็คอินกันซะหน่อยดีกว่า
นู้นนนน … เห็นที่พักบนยอดภูนั้นไหม เราจะไปนอนท้าลมหนาวกันบนยอดภู คร๊าบ
แอดเลือกเดินทางมาเที่ยวในวันอาทิตย์ นึกว่าคนจะน้อย ที่ไหนได้ คนเต็มเลย … เดินหาที่พักกันให้วุ่น เพราะไม่ได้จองมาก่อน ไม่คิดว่าคนจะเยอะ ฮ่าๆ เดินหามาสักพักสุดท้ายก็ได้พักที่ “ริมผาภูทับเบิก” ราคาที่พักอยู่ตั้งแต่ 1,200 – 2,500 บาท ครับ ขอบอกว่าที่พักที่นี่กันจุดชมวิวทะเลหมอก แถมยังใกล้ร้านค้าอีกด้วยนะ
ตัดภาพมาตอนเช้าเลยละกัน! ตื่นแต่เช้ามารอพระอาทิตย์ขึ้นตรงที่พัก หวังว่าจะได้พบกับทะเลหมอก T_T ไม่มีทะเลหมอกเลยจ้า แอบเศร้านิดๆ กันเลย
ในความเศร้ามักจะมีเรื่องดีๆ แอบมาอยู่ข้างใน แหะๆ “แสงทะลุฟ้า” สวยงามมาก แสงจากท้องฟ้าผาดผ่านเมฆ สาดส่องไปยังพื้นที่สีเขียวต่างๆ ในวันที่ภูทับเบิกไม่มีทะเลหมอกก็สวยงามไปอีกแบบนะ
ได้ไปยืนเพลินๆ ดูสีเขียว ดูโค้ง ดูความสูง มันฟิน อิน ธรรมชาติสุดๆ มันก็เพลินดีนะ
เดินเล่นต่อ มุ่งตรงไปถ่ายป้าย “ภูทับเบิก” ยอดเขาสูงสุดของจังหวัดเพชรบูรณ์ 1,768 เมตร จะได้รู้ว่ามาถึงยอดภูกันแล้ว
อุณหภูมิตอนเช้า ก็แค่ 15 องศา ลมเย็นๆ กำลังดีเลยทีเดียว
บรรยากาศลานกางเต็นท์รอบๆ อาคารดูดาวและที่วัดอุณหภูมิ มีนักท่องเที่ยวมากมายที่มานอนรับลมเย็นๆ กัน นี่ขนาดวันอาทิตย์นะ ถ้าวันหยุดยาวจะเยอะขนาดไหน
ที่นี่มีร้านค้ามากมาย ไม่ว่าจะเป็น ขนมปังปิ้ง กินคู่กับอากาศเย็นๆ หรือจะเป็นเมนูข้าวจี่ ก็มีนะ และยังมีผักผลไม้ของชาวเขาให้เลือกซื้อกันอีกด้วย
อากาศกำลังเย็นๆ หนาวๆ ต้องเดินคลายหนาวกันซะหน่อย! ไปต่อกันที่ “จุดชมวิวทะเลหมอก” ถือว่าจุดนี้เป็นจุดรวมตัวของนักท่องเที่ยวที่มักจะมาถ่ายรูปคู่กับวิวยอดภูกัน
มาภูทับเบิกทั้งที ถ้าไม่เจอไร่กะหล่ำปลี ก็คงแปลก ฮ่าๆ
เดินเล่นมาสักพักละ ก็ได้เวลาหาอะไรลงท้องกันบ้าง! ด้วยเมนูง่าย “ไข่กะทะ” และ “โจ๊กหมูร้อนๆ” ราคาเมนูละ 50 บาท อิ่มท้องกันเลยสำหรับมื้อเช้า
คงต้องถึงเวลาโบกมือลา “ภูทับเบิก” กันแล้วละ มีรูปบบรรยากาศรีสอร์ทบนยอดภูมาฝาก เผื่อเอาไว้เป็นตัวเลือกในการเลือกที่พักกันนะ … ออกเดินทางต่อได้ แล้วไปต่อกันที่ “เขาค้อ” กันเลยคร๊าบบบ
แอดเลือกพักที่ “ภูอาบหมอก” เขาค้อ มีให้เลือกทั้งแบบห้องแอร์ กับ ห้องพัดลม ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 1,500 – 3,000 บาท
แอดเลือกพักแบบบ้านไม้ ห้องพัดลม มีระเบียงให้นั่งเล่นด้วยนะ วิวนอกระเบียง ก็จะเป็นแบบนี้อ่ะ เหมาะแก่การมานั่งชิลล์ๆ มากเลย
บรรยากาศรีสอร์ทรอบๆ ในมุมสูง มีหลายรีสอร์ทเลย วิวดีๆ กันทั้งนั้น
มาเริ่มเที่ยวกันดีกว่า! “ทุ่งกังหันลม” เขาค้อ ถือว่าที่นี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่กำลังเป็นที่นิยม ถือว่าเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของเขาค้อเลยก็ว่าได้ มีกังหันลมตั้งโดดเด่น เรียงรายอยู่กลางพื้นที่สีเขียวกันเลย
ภายใน “ทุ่งกังหันลม” ยังมี “ไร่สตรอเบอรี่ GB” ไว้ให้ไปถ่ายรูปคู่กับสตรอเบอรี่ และยังมีดอกไม้สวยๆ ที่ประดับอยู่รอบข้างบริเวณไร่สตรอเบอรี่ ยังมีอีกมุมที่ไม่ควรพลาด “มุมชิงช้า” ไปนั่งชิงช้าชิลล์ๆ มองวิวเขาให้เพลินๆ กัน
แถมที่นี่ยังมี “ฟอร์มูล่าม้ง” ให้เล่นกันอีกด้วยนะ แค่ 50 บาท/คัน เท่านั้น
ได้เวลาจิบกาแฟ มาถึงเขาค้อทั้งที่ต้องมาที่ “Pino latte” ร้านกาแฟสุดฮิต จุดเช็คอินสุดฮอตของนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวเขาค้อกัน มีมุมถ่ายรูปสวยๆ มากมาย ใครที่ชื่นชอบถ่ายรูปต้องมาที่นี่กันนะ
ถึงแอดจะเลือกดื่มชาเย็น แต่แอดก็ไม่เย็นชานะ แฮ่
มันก็จะฟินๆ ป่ะละ จิบกาแฟ ชมวิวธรรมชาติ มองเห็นวัดพระธาตุผาซ่อนแก้วอยู่ไกลๆ
ปิดท้ายทริป พาไปไหว้พระก่อนเดินทางกลับกรุงเทพ ที่ “วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว” ถือว่าเป็นสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของเขาค้อ ด้านในมี “อุโบสถพระพุทธเจ้า 5 พระองค์” สวยงาม ประดิษฐานสวยงามแบบไม่มีใครเหมือน และ “เจดีย์พระธาตุผาแก้ว” มีการตกแต่งด้วยหินสีต่างๆ จนกลายเป็นลวดลายที่สวยงามแปลกตา
จบทริปแล้วคร๊าบ กับทริปท้าลมหนาว 3 วัน 2 คืน ตะลุย “ภูทับเบิก-เขาค้อ” ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ หากใครยังไม่มีแพลนหรือไม่รู้จะไปเที่ยวไหนกันในหน้าหนาว ลองเก็บกระเป๋าชวนเพื่อนไปอิน ฟิน ธรรมชาติ ท้าลมหนาว แบบแอดกันได้นะครับ